นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปูนซีเมนต์ไทย (SCC) เปิดเผยว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/66 ยังมีความไม่แน่นอน โดยเฉพาะภาวะสงครามในตะวันออกกลางที่ยังดำเนินอยู่ อาจเป็นตัวเร่งให้ราคาพลังงานปรับตัวขึ้นได้ ซึ่งจะมีผลกระทบต่อธุรกิจของบริษัท
แต่หากมองในแง่เศรษฐกิจ เศรษฐกิจอาเซียนมีแนวโน้มดีขึ้น โดยเฉพาะอินโดนีเซียที่จะมีการลงทุนและการบริโภคเพิ่มขึ้นจากการก่อสร้างเมืองหลวงใหม่ "นูชันตารา" ขณะที่เศรษฐกิจไทยคาดการณ์ว่าจะฟื้นตัวดีขึ้นจากภาคอสังหาริมทรัพย์และภาคการค้าเมืองท่องเที่ยว ซึ่งได้รับอานิสงส์จากนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งค่าไฟฟ้าและราคาน้ำมันดีเซลอาจปรับตัวลง ทำให้ควบคุมต้นทุนพลังงานได้ดีขึ้น
ทั้งนี้ ด้วยเศรษฐกิจโลกยังมีความไม่แน่นอนสูง จากต้นทุนพลังงานผันผวน ต้นทุนวัตถุดิบพุ่งสูง ตลาดจีนชะลอตัว ธุรกิจปิโตรเคมียังไม่ฟื้นตัวดี ผนวกกับการขึ้นอัตราดอดเบี้ย เงินเฟ้อสูง ตลอดจนความขัดแย้งในตะวันออกกลาง และความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ที่ยังดำเนินอยู่ บริษัทจึงเร่งเดินหน้า 3 กลยุทธ์เข้มข้นขึ้นเพื่อให้ธุรกิจดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่อง ได้แก่
1. รัดเข็มขัด ควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างรัดกุม มุ่งลดต้นทุนพลังงาน เพิ่มสัดส่วนพลังงานสะอาดแทนการใช้พลังงานฟอสซิลซึ่งราคาผันผวน อาทิ พลังงานแสงอาทิตย์ ปัจจุบันมีการใช้ 220 เมกะวัตต์ และเชื้อเพลิงชีวมวลในโรงงานปูนซีเมนต์ในไทย มีสัดส่วนการใช้ 40% พร้อมทั้งเร่งหาแหล่งพลังงานสะอาดอื่น ๆ อาทิ ปลูกหญ้าเนเปียร์ พืชให้พลังงานสูง 1,000 ไร่ ที่สระบุรีแซนด์บ็อกซ์เมืองต้นแบบคาร์บอนต่ำแห่งแรกของไทย มุ่งเป้าปลูก 30,000 ไร่ในปี 2571
2. ทบทวนแผนงาน ชะลอโครงการที่ไม่เร่งด่วน เน้นลงทุนธุรกิจเติบโตสูง อาทิ ร่วมมือกับ Denka ในอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ สำหรับยานยนต์ไฟฟ้า ลงทุนร่วมกับ Braskem ในอุตสาหกรรมพลาสติกชีวภาพ และลองเชิน ปีโตรเคมิคอลส์ (Long Son Petrochemicals - LSP) ซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้างและเตรียมทดสอบเครื่องจักร เพื่อผลิตเม็ดพลาสติกคุณภาพสูงป้อนตลาดโลก
3. รุกนวัตกรรม Green ที่มีความต้องการสูงตอบเมกะเทรนต์โลก โดยสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม SCG Green Choice เดิบโตโดดเด่น 9 เดือนของปีมียอดขาย 54% จากการขายสินค้าทั้งหมด พร้อมเดินเครื่องเต็มที่เพิ่มยอดขายให้ได้ 2 ใน 3 ของยอดขายทั้งหมดในปี 2573 ขณะที่ SCG Cleanergy ธุรกิจพลังงานสะอาดครบวงจร ให้บริการระบบเครือข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Grid) กับเครือเซ็นทารา พัฒนาเป็น Smart Hotel ควบคู่กับการเร่งส่งออกปูนคาร์บอนต่ำ และผลักดันนวัตกรรมกรีนอื่นๆ อาทิ พลาสติกรักษ์โลก ธุรกิจรีไซเคิล
สำหรับผลประกอบการไตรมาส 3/66 SCC มีรายได้จากการขาย 125,649 ล้านบาท ลดลง 12% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากยอดขายในทุกธุรกิจลดลง และการไม่รวมยอดขายของ SCG Logistics (เปลี่ยนสถานะจากบริษัทย่อยเป็นบริษัทร่วม จากการรวมธุรกิจ SCGJWD Logistics) ขณะที่กำไรสำหรับงวด 2,441 ล้านบาท ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ กำไรจากการดำเนินงาน 3,019 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว กำไรสำหรับงวดลดลง 70% เนื่องจากไตรมาสก่อนมีกำไรจากการปรับมูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุนและเงินปันผล ประกอบกับไตรมาสนี้มีรายการขาดทุนจากการด้อยค่าสินทรัพย์ของโรงงานซีเมนต์ในภูมิภาค ทั้งนี้ หากไม่รวมรายการขาดทุนจากการด้อยค่าสินทรัพย์ของโรงงานซีเมนต์ในภูมิภาค กำไรจากการดำเนินงานลดลง 42% จากไตรมาสก่อน
ส่วนงวด 9 เดือนแรกของปี 66 รายได้จากการขาย 379,028 ล้านบาท ลดลง 15% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักจากยอดขายที่ลดลงของทุกกลุ่มธุรกิจจากสถานการณ์ตลาดในภูมิภาค กำไรสำหรับงวด 27,049 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27% ทั้งนี้ กำไรจากการดำเนินงาน 12,805 ล้านบาท ลดลง 40% เนื่องจากปิโตรเคมียังอยู่ในวัฏจักรขาลง ตลาดอาเซียนอ่อนตัว
สินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม (HVA) ในช่วง 9 เดือนของปี 66 มีรายได้ 129,125 ล้านบาท คิดเป็น 34% ของรายได้จากการขายรวม ยอดขายสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม SCG Green Choice 206,048 ล้านบาท คิดเป็น 54% ของรายได้จากการขายรวม ขณะที่รายได้จากการดำเนินธุรกิจในต่างประเทศ รวมการส่งออกจากประเทศไทย 163,505 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 43% ของรายได้จากการขายรวม