ได้เวลาดักเก็บหุ้นปันผลสูง... เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมา SET Index ปรับตัวลงมาค่อนข้างมาก จากหลายปัจจัยกดดัน โดยเฉพาะอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ (บอนด์ยีลด์) ที่ปรับตัวขึ้นทะลุ 5% อีกทั้งความตึงเครียดในตะวันออกกลาง ทำให้ปัจจุบัน Valuation ไม่แพง อยู่ในโซนน่าลงทุน จึงเป็นจังหวะที่ดีที่จะเข้าทยอยสะสมหุ้นที่มีโอกาสฟื้นตัว และให้ปันผลในระดับสูง
บล.ทิสโก้ ระบุในบทวิเคราะห์ว่า การลงทุนในตลาดหุ้นไทย ผลตอบแทนจากเงินปันผลถือว่าเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของตลาดหุ้นไทย เพราะในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ผลตอบแทนจากเงินปันผลของตลาดหุ้นไทยนอกจากจะชนะอัตราเงินเฟ้อแล้ว มักให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าอัตราดอกเบี้ยด้วย แน่นอน การลงทุนในตลาดหุ้นควรให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าตลาดพันธบัตร เพื่อชดเชยความเสี่ยงที่สูงขึ้นจากการลงทุน อย่างไรก็ดี หากพิจารณาความเสี่ยงควบคู่กับ Upside ของราคาหุ้นเป็นรายตัว เชื่อว่าการลงทุนในหุ้นปันผลยังให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าสำหรับการลงทุน 6 เดือนข้างหน้า
ประการแรก : ในสภาวะการลงทุนหุ้นไทยที่เผชิญความไม่แน่นอนจากสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลางและความเสี่ยงเศรษฐกิจโลกชะลอตัวมากขึ้น หุ้นปันผลถือว่าตอบโจทย์การลงทุนได้เป็นอย่างดี
ประการที่สอง : ตลาดหุ้นไทยนับตั้งแต่ต้นปีนี้ (YTD) ราคาปรับตัวลงมามากกว่า 16% ยิ่งเพิ่มโอกาสในการเข้าลงทุนหุ้นปันผล เพราะในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ (ช่วง ก.พ. - เม.ย. ปีหน้า) จะเข้าสู่ช่วงฤดูกาลที่บจ.ไทยจ่ายเงินปันผลประจำปี
ประการที่สาม : จากการศึกษาความเคลื่อนไหวหุ้นที่มีการจ่ายเงินปันผลสูง โดยใช้ดัชนี SETHD TRI ซึ่งเป็นตัวแทนหุ้นพื้นฐานดีที่มีการจ่ายเงินปันผลสูง 30 ตัวแรกของตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่รวมผลตอบแทนจากการเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้นและเงินปันผลแล้ว เปรียบเทียบกับความเคลื่อนไหวของ SET TRI พบว่า หุ้นปันผลมักจะให้ผลตอบแทนดีกว่าตลาดโดยรวมเสมอในช่วงเดือน ม.ค.-เม.ย. ของทุกปี เฉลี่ยประมาณ +2.5% และมีความเป็นไปได้สูงถึง 78% ดังนั้น เราจึงมองช่วงปลายปีนี้เป็นช่วงเวลาที่ดีในการทยอยเก็บหุ้นปันผล
ทั้งนี้ได้คัดเลือกหุ้นปันผลที่น่าสนใจตามเกณฑ์ดังต่อไปนี้
1.แนวโน้มกำไรในช่วงครึ่งปีหลังยังคงแข็งแกร่งและปีหน้ายังคงเติบโตได้จากปีนี้
2. มีฐานะการเงินแข็งแกร่ง-กระแสเงินสดมั่นคง
3. มีประวัติการจ่ายเงินปันผลที่ดีในอดีต และคาดการณ์ผลตอบแทนจากเงินปันผลในช่วงที่เหลือของปีนี้ โดยหักการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลไปแล้ว (Remaining Yield) มากกว่าระดับ 4%
4. คำแนะนำเป็น "ซื้อ" และมี Upside มากกว่า 20% จากมูลค่าเหมาะสมตามปัจจัยพื้นฐานของเรา เพื่อเปิดโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีทั้งในแง่ของเงินปันผลและส่วนต่างราคาหุ้น
จากการตรวจสอบหุ้นที่อยู่ภายใต้การวิเคราะห์ของเราทั้งหมด 132 บริษัท หุ้นปันผลเด่นที่มีคุณสมบัติครบตามเกณฑ์ที่เรากำหนดแนะนำเข้าลงทุน AP, BAM, ICHI, SCB และ TASCO
โดย AP หลังจากยอดจองในไตรมาส 3 ลดลงไม่น่าประทับเท่าไหร่นักจากการเปิดตัวโครงการที่ลดลง แต่เราคาดในไตรมาส 4 จะสามารถเร่งฟื้นตัวกลับมาได้ ด้วยยอดการเปิดตัวที่เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว ทำให้เราคาดว่า AP จะสามารถรักษาระดับการจ่ายเงินปันผลเช่นเดิมที่มีผลตอบแทนราว 6% ได้ (คาดจ่ายปันผล 65 สต./หุ้น), เป้าพื้นฐาน 15 บาท
BAM เตรียมขยายพอร์ตสินเชื่อ NPLs และ NPAs ตามซัพพลายที่เร่งตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งจะเป็นตัวกระตุ้นให้ BAM สามารถทำกำไรปรับตัวดีขึ้นได้ตั้งแต่ปี 67-68 ขณะที่การประเมินมูลค่าราคาไม่แพง และด้วยผลตอบแทนจากเงินปันผลที่สูงเกือบ 7% (คาดจ่ายปันผล 62 สต./หุ้น), เป้าพื้นฐาน 16 บาท
ICHI แนวโน้มผลประกอบการเติบโตแรง คาด CAGR 3 ปีเติบโตเฉลี่ยกว่าปีละ 27% ขณะที่ผู้บริหารก็มองไปในทางบวก โดยปรับเป้าหมายรายได้ปีนี้เพิ่มขึ้นกว่า 20% จากเดิมที่ 15% จากยอดขายและการรับจ้างผลิตที่เพิ่มขึ้น ขณะที่การจ่ายปันผล ให้ผลตอบแทนที่ค่อนข้างดีเช่นกัน โดยปีนี้อยู่ที่ 76 สต./หุ้น คิดเป็นอัตราผลตอบแทนราว 5%, เป้าพื้นฐาน 21.5 บาท
SCB แม้ผลประกอบการไตรมาส 3/66 ออกมาต่ำกว่าคาด จากธุรกิจ Card X ที่อ่อนแอ แต่เรายังเห็นธุรกิจ Auto X เติบโตได้ดี อีกทั้งธุรกิจธนาคารยังควบคุมคุณภาพสินทรัพย์ไว้ได้ช่วยรองรับธุรกิจใหม่ Gen-III ที่กำลังอยู่ในช่วงลงทุน SCB จ่ายปันผลระหว่างกาลไปแล้ว 2.5 บาท/หุ้น คาดจ่ายอีก 5.5 บาท/หุ้น คิดเป็นผลตอบแทนปันผลมากกว่า 5%, เป้าพื้นฐาน 130 บาท
TASCO แนวโน้มดีขึ้นมากหลังสหรัฐฯ ยกเลิกคว่ำบาตรเวเนซุเอลาชั่วคราว ทำให้บริษัทสามารถนำเข้าน้ำมันดิบจากเวเนซุเอลาได้ ซึ่งให้ผลตอบแทนจากการกลั่นเพิ่มขึ้น ประมาณการกำไรปี 67-68 ขึ้น 20% และ 2% ตามลำดับ, จ่ายปันผลระหว่างกาลไปแล้ว 0.25 บาท/หุ้น คาดจะจ่ายอีก 1 บาท/หุ้น คิดเป็นเงินปันผลที่เหลืออีกเกือบ 6%, เป้าพื้นฐาน 25 บาท
บล.เอเชียพลัส มองการปรับตัวลดลงที่ค่อนข้างแรงของ SET Index ทำให้ Upside เมื่อเทียบกับเป้าหมายสิ้นปีซึ่งกำหนดไว้ที่ 1,524 จุด มีมากพอควร ทำให้กลยุทธ์ที่นำเสนอให้ Buy & Hold โดยทยอยซื้อหุ้นพื้นฐานดีสะสม เพื่อการลงทุนในระยะกลาง-ยาว น่าจะทำงานได้ดี และหุ้นอีกประเภทหนึ่งที่น่าจะมีความเหมาะสมในภาวะตลาดเช่นนี้ น่าจะเป็นหุ้นปันผลสูง หรือในอีกมุมหนึ่งเพื่อหลบความผันผวนของตลาด แนะนำมีหุ้นปันผลเด่นติดพอร์ตน่าจะช่วยลดความผันผวนให้พอร์ตได้ดี
ฝ่ายวิจัยฯ จึงทำการค้นหาหุ้นปันผลเด่น Sector ละ 1 บริษัท ที่มีการจ่ายสม่ำเสมอตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ได้ผลลัพธ์ หุ้นปันผลเด่นที่น่าทยอยสะสม ได้แก่
SIRI คาดมี Dividend Yield ที่ 9.55% ในปี 66-67
SAT คาดมี Dividend Yield ที่ 8.38% ในปี 66-67
TISCO คาดมี Dividend Yield ที่ 8.29% ในปี 66 และ 8.55% ในปี 67
TASCO คาดมี Dividend Yield ที่ 7.35% ในปี 66 และ 6.47% ในปี 67
TOP คาดมี Dividend Yield ที่ 6.50% ในปี 66 และ 6.09% ในปี 67
PYLON คาดมี Dividend Yield ที่ 6.24% ในปี 66 และ 5.18% ในปี 67
MAJOR คาดมี Dividend Yield ที่ 5.32% ในปี 66 และ 4.96% ในปี 67
M คาดมี Dividend Yield ที่ 3.84% ในปี 66 และ 4.29% ในปี 67
JMT คาดมี Dividend Yield ที่ 3.75% ในปี 66 และ 4.38% ในปี 67
ADVANC คาดมี Dividend Yield ที่ 3.66% ในปี 66 และ 3.83% ในปี 67
HMPRO คาดมี Dividend Yield ที่ 3.26% ในปี 66 และ 3.59% ในปี 67
PTTGC คาดมี Dividend Yield ที่ 3.01% ในปี 66 และ 3.76% ในปี 67
บล.พาย แนะ 10 หุ้นปันผลเด่น ปี 66-67 ให้ Dividend Yield สูง ตั้งแต่ 4-11% ได้แก่
KSL คาดมี Dividend Yield ที่ 4.1% ในปี 66 และ 4.2% ในปี 67
NER คาดมี Dividend Yield ที่ 7.1% ในปี 66 และ 7.4% ในปี 67
TU คาดมี Dividend Yield ที่ 6.1% ในปี 66 และ 5.2% ในปี 67
AH คาดมี Dividend Yield ที่ 4.8% ในปี 66 และ 5.2% ในปี 67
SAT คาดมี Dividend Yield ที่ 8.1% ในปี 66 และ 9.0% ในปี 67
STANLY คาดมี Dividend Yield ที่ 11.2% ในปี 66 และ 5.6% ในปี 67
KKP คาดมี Dividend Yield ที่ 5.5% ในปี 66 และ 6.1% ในปี 67
SCB คาดมี Dividend Yield ที่ 6.1% ในปี 66 และ 6.9% ในปี 67
TCAP คาดมี Dividend Yield ที่ 6.4% ในปี 66 และ 6.8% ในปี 67
TISCO คาดมี Dividend Yield ที่ 7.9% ในปี 66 และ 8.0% ในปี 67