บล.เอเซีย พลัส ระบุว่า ในเดือนพ.ย.นี้ ยังมีประเด็นความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอกที่ต้องจับตาเกี่ยวกับสถานการณ์สงครามระหว่างอิสราเอล-ฮามาส เป็นตัวแปรสำคัญในการเปลี่ยนทิศทางราคาน้ำมัน เงินเฟ้อ ดอกเบี้ย และตลาดหุ้น ในส่วนของปัจจัยภายในภาพรวม SET Index ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมามีการปรับฐานลงลึก เชื่อว่าหากไม่มีสงครามหรือสงครามจบลง SET จะฟื้นตัวได้จากปัจจัยหนุนเฉพาะตัว แนะหุ้นเด่นเดือนพ.ย. อย่าง CPN, ERW, BH, MAJOR, WHA, CPALL, TIDLOR
ประเด็นความเสี่ยงต่างประเทศที่ต้องจับตามี 3 ส่วน คือ 1. สถานการณ์สงคราม อิสราเอล-ฮามาส เป็นตัวแปรสำคัญ ซึ่งหากมีการขยายวงกว้างไปสู่ความขัดแย้งระหว่างภูมิภาค อาจทำให้ราคาน้ำมันและเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น และยังยากที่ธนาคารกลางต่างๆ จะรับมือได้โดยที่ไม่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ 2.การเข้าสู่ภาวะเอลนีโญมีผลต่อการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าเกษตร ซึ่งอาจเป็นตัวเร่ง COST PUSH INFLATION ขึ้นได้ 3.การประชุมของธนาคารกลางต่างๆ ในช่วงที่เหลือของปีนี้ น่าจะเห็นการคงดอกเบี้ยไว้ที่ระดับที่เหมาะสมตาม Bond Yield 1 ปี เกือบทุกประเทศต่ำกว่าดอกเบี้ยนโยบายแล้ว หลังมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยมานานเพื่อแก้ปัญหาเงินเฟ้อพุ่งสูง
อย่างไรก็ตาม ภาพรวม SET INDEX ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา (ก.ย.- ต.ค.66) ปรับตัวลดลงเกิน 10% ซึ่งเป็นการลดลงลึกมาก จนมีระดับ PECENTILE สูงกว่า 90% เมื่อเทียบกับข้อมูลที่มีทั้งหมดใน 48 ปีที่ผ่านมา แต่หากไม่มีสงคราม หรือสงครามจบลงเชื่อว่า SET จะฟื้นตัวได้จากหลายปัจจัยเฉพาะตัวหนุน 1. รัฐบาลใหม่ทยอยออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ และช่วยเหลือประชาชนต่อเนื่อง 2.เศรษฐกิจไทยช่วง 2H66 ดูดีขึ้นคาดเติบโตเฉลี่ยไตรมาสละ 3.8% YOY ซึ่งมีตัวเร่งเศรษฐกิจ คือ ภาคการท่องเที่ยวการลงทุนภาครัฐฯ การส่งออกและการบริโภคในประเทศ 3.คาดหนุนกำไร 3H66 เติบโตทั้ง QoQ และ YoY 4.Valuation ของ SET อยู่ในจุดที่น่าทยอยสะสมหุ้นทั้ง P/E66F อยู่ที่ 15.5 เท่า (อยู่ใน ระดับ -1.5 SD), PBV ที่อยู่ 1.34 เท่า (ต่ำกว่าระดับ -2 SD), MEYG66F อยู่ที่ 3.8 เท่า (สูงกว่าหลายๆ ประเทศ), EPS GROWTH 67F อยู่ที่ 12.6% สูงเป็นระดับต้นๆ ในเอเชีย
ในส่วนของ Fund Flow ถ้า FED หยุดขึ้นดอกเบี้ยตั้งแต่เดือนพ.ย. เป็นต้นไป อาจส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่า หรือค่าเงินบาทพลิกกลับมาแข็งค่าได้ รวมถึงเงินบาทน่าจะมีเสถียรภาพมากขึ้น หลังดุลการค้าดีกว่าคาด หนุนให้ FUND FLOW ค่อยทยอยไหลกลับมาในตลาดหุ้นไทยในช่วงที่เหลือของปีและในปีหน้าได้ และน่าจะสอดคล้องกับในอดีต เวลาค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่า หุ้นมักปรับตัวเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะตลาดหุ้นประเทศกำลังพัฒนาจะถูกเพิ่มน้ำหนัก และมักจะ Outperform ตลาดหุ้นพัฒนาแล้วเสมอเนื่องจากมีโอกาสได้ผลตอบแทนจากอัตราแลกเปลี่ยนบวกเพิ่มไปอีก
กลยุทธ์ประจำเดือนพ.ย. แนะนำเอาชนะตลาดด้วยการ BUY & HOLD โดยกระจายการลงทุนให้หุ้นพื้นฐานดีที่แอบซ่อนอยู่ในหลากหลาย SECTOR อย่าง CPN, ERW, BH, MAJOR, WHA, CPALL, TIDLOR