นายยุทธนา สุริยวนากุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริการดูแลงานด้านนักลงทุนสัมพันธ์ บมจ.สยามโกลบอลเฮ้าส์ (GLOBAL) กล่าวว่า บริษัทยอมรับว่าผลการดำเนินงานปีนี้น่าจะพลาดเป้าหมายรายได้เติบโต 5-10% เนื่องจากการลดลงของยอดขายตามกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ลดลงในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว
อย่างไรก็ตาม บริษัทประเมินว่าภาพรวมอุตสาหกรรมมีทิศทางที่ดีขึ้น เนื่องจากรัฐบาลพยายามลดค่าครองชีพ รวมทั้งราคาพืชผลการเกษตรเริ่มฟื้นตัว ส่งผลให้ไตรมาส 4/66 จะเป็นการฟื้นตัวของรายได้มาเติบโตมากกว่าไตรมาส 3/66
ทั้งนี้ ไตรมาส 3/66 บริษัทมีกำไรสุทธิ 527.30 ล้านบาท ลดลง 32.30% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) โดยมีรายได้จากการขายอยู่ที่ 7,340.46 ล้านบาท ลดลง 10.16% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการลดลงของยอดขายสาขาเดิมประมาณ 12.3% แม้ว่าบริษัทจะเปิดสาขาเพิ่มขึ้นอีก 4 สาขา ในขณะที่กำไรขั้นต้นอยู่ที่ 25.86% มาจากยอดขายสินค้า House Brand ที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งต้นทุนของ House brand ดีขึ้นจากค่าขนส่งสินค้าที่ลดลงและอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเทียบกับหยวนดีขึ้นจากปีที่แล้ว
นายยุทธนา กล่าวว่า บริษัทได้วางเป้าหมายการขายสินค้า House Brand ปี 67 ไว้ที่ 25% และในอีก 4-5 ปีข้างหน้าอยู่ที่ 30% และการเติบโตของยอดขายจากสาขาเดิมในปี 67 เติบโต 3-4% จากปี 66 ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นปี 67 คาดว่าจะอยู่ที่ 25.5-26%
สำหรับแผนการขยายสาขายังเป็นไปตามเป้าหมาย โดยในช่วงที่เหลือของปี 66 บริษัทเตรียมเปิดสาขาที่ชุมพร และสาขาในกรุงเทพฯ รวมทั้งหมดในปี 66 จะมีจำนวนทั้งหมด 84 สาขา ทั้งนี้ในปี 67 เตรียมเปิดสาขาปี 8 สาขา นอกจากนี้แผนการขยายสาขาในต่างประเทศ บริษัทเตรียมเปิดสาขาในพระตะบอง กัมพูชา ในช่วงเดือนธันวาคม ในขณะที่การดำเนินงานในลาว มีความเสี่ยงด้านค่าเงินที่ค่อนข้างผันผวน อย่างไรก็ตามกำไรสุทธิยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง และมีแผนจะขยายสาขาเพิ่มในช่วงไตรมาส 1/67 ซึ่งในขณะนี้อยู่ในระหว่างการก่อสร้าง
ส่วนการดำเนินงานในเมียนมายังเป็นปกติ ความขัดแย้งในประเทศไม่กระทบกับการดำเนินงานของบริษัท โดยยอดขายเติบโต 20-30% จากปีก่อน ซึ่งบริษัทมีแผนจะขยายสาขาเพิ่มเติม โดยในเมืองย่างกุ้งเตรียมเปิด 3-4 สาขา ใน 3 ปีข้างหน้าแต่การเมืองในประเทศอาจส่งกระทบต่อการล่าช้าหรือยากขึ้นในการขออนุญาตก่อสร้าง แต่คาดว่าแผนการขยายสาขายังเป็นไปตามแผน นอกจากนี้ในอินโดนีเซีย เตรียมเปิดอีก 1 สาขาในเดือน พ.ย. เป็นสาขาที่ 13 และในแผนปี 67 จะเปิดเพิ่มอีก 2-3 สาขา
ทั้งนี้ความเสี่ยงหลักในการขยายธุรกิจในต่างประเทศที่บริษัทให้ความสำคัญหลักคือเรื่องของกฎหมายในพื้นที่ ทั้งในเรื่องของการก่อสร้างและการนำเข้าสินค้า รวมทั้งเรื่องของความมั่นคงในประเทศนั้น ๆ โดยที่ผ่านมาบริษัทได้ขยายธุรกิจในภูมิภาคอาเซียนเนื่องจากสามารควบคุมได้ง่ายและเข้าถึงได้เร็วกว่า ซึ่งผลประกอบการของธุรกิจในต่างประเทศยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง สำหรับแนวโน้มราคาเหล็กคาดว่าราคาปรับตัวลงมาพอสมควร โอกาสที่จะปรับตัวลงไปอีก บริษัทได้พยายามควบคุมการสต๊อกสินค้าไม่ให้มากเกินไป ส่งผลให้เมื่อราคาเหล็กยังปรับตัวลงต่อจะได้รับผลกระทบไม่สูง