นายเกษม พันธ์รัตนมาลา อุปนายก สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน กรรมการและผู้บริหารสูงสุด ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) มองว่าแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในปี 67 จะมีทิศทางดีขึ้น จากเศรษฐกิจไทยที่จะเติบโตด้วยการขับเคลื่อนของภาคการท่องเที่ยว คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวในปีหน้าอาจจะสูงถึง 35 ล้านคนและยังเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลให้ GDP ขยายตัวเพิ่มขึ้น 1-2% รวมทั้งการส่งออกจะกลับมาเป็นบวก ส่งผลให้ภาคการผลิตจะมีการจ้างแรงงานมากขึ้น การอุปโภคบริโภคในประเทศก็จะดีตามไปด้วย ส่งผลให้ผลกระกอบการของธุรกิจต่าง ๆ ดีขึ้น
ตลาดหุ้นไทยเผชิญกับแรงขายของนักลงทุนต่างชาติมาตั้งแต่ช่วงก่อนเลือกตั้งต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน เนื่องจากความเสี่ยงทางการเมืองในประเทศ แม้ว่าจะมีรัฐบาลแล้วแต่แผนการดำเนินการตามนโยบายต่าง ๆ ยังไม่ชัดเจน รวมทั้งนโยบายหลายอย่างอาจกระทบต่อภาคธุรกิจ สะท้อนจากหุ้นหลายกลุ่มที่ปรับตัวลงเนื่องจากนักลงทุนกังวลว่านโยบายจะกระทบกับการดำเนินงานของบริษัทเหล่านั้น
นอกจากนี้ การเลือกตั้ง รวมทั้งการจัดตั้งรัฐบาลใช้เวลานานพอสมควร ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนด้วยเช่นเดียวกัน เนื่องจากนักลงทุนชะลอการตัดสินใจ กำไรของตลาดจึงถูกปรับลดลงไปพอสมควร อีกปัจจัยหนึ่ง คือ โครงสร้างของตลาด เนื่องจากกลุ่มพลังงานเป็นกลุ่มใหญ่ที่น้ำหนักค่อนข้างมากในตลาดหุ้นไทย เมื่อราคาน้ำมันปรับลงหุ้นกลุ่มพลังงานจึงฉุดภาพรวมตลาดลงไปด้วย จากประเด็นดังกล่าวส่งผลให้การปรับตัวของตลาดหุ้นไทยค่อนข้างแย่กว่าภูมิภาค
อย่างไรก็ตาม Forward P/E ตอนนี้ตกลงมาอยู่ที่ต่ำกว่า 14% เล็กน้อย SET Index อยู่ที่ประมาณ 1,400 จุดก็จะรีบาวด์ ดาวน์ไซด์ต่อจากนี้จะมีน้อย โดยเฉพาะจากปัจจัยบวกต่าง ๆ ที่รัฐบาลพยายามสนับสนุนอาจจะทำให้ตลาดเริ่มรีบาวด์ขึ้นมาได้
นายกรภัทร วรเชษฐ์ หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.กรุงศรี พัฒนสิน เปิดเผยว่า ปัจจัยต่าง ๆ ที่กดดันการลงทุนตลาดหุ้นไทยเริ่มลดลง ทั้งอัตราดอกเบี้ยและบอนด์ยีลด์ที่อยู่ในระดับสูงที่สุดแล้ว โดยตลาดหุ้นไทยตอนนี้ถูกมากแล้ว นักลงทุนควรกลับมามองโอกาสลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงบ้านเรา ทั้งระยะกลางและระยะยาว ยังสามารถสร้างความมั่งคั่งและสภาพคล่องการเงินได้โดยเฉพาะการเข้าซื้อจุดที่เป็น Value Zone
ขณะที่ปัจจัยบวกที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจในประเทศปี 67 และมีสัญญาณออกมาแล้วคือภาคการส่งออก ซึ่งสอดคล้องกับเกาหลีใต้และไต้หวันที่เริ่มฟื้นตัว สะท้อนมาความต้องของเซมิคอนดักเตอร์กำลังจะฟื้นตัวต่อเนื่อง รวมทั้งการท่องเที่ยวที่เริ่มมีอัตราเร่ง ส่งผลให้ตลาดหุ้นเริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น หุ้นที่อิงการส่งออกผลตอบแทนจะเริ่มกลับมา
อย่างไรก็ตาม กระแสเงินจากนักลงทุนต่างชาติอาจจะยังไม่เข้าตลาดไทยทันที แต่จะเข้ามาลงทุนในสินทรัพย์ที่น่าสนใจก่อน ซึ่งนักลงทุนรอติดตามความชัดเจนจากนโยบายภาครัฐ ที่มีความสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนต่างชาติและนักลงทุนในประเทศ
จากบทวิจัยของ บล.กรุงศรีฯ มองว่านโยบายแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ตไม่จำเป็นต้องใช้เงินถึง 5.6 แสนล้านบาท เนื่องจากการวิจัยพบว่ากลุ่มที่มีรายได้ครัวเรือนต่ำกว่า 50,000 บาท ส่วนใหญ่จะมีการใช้จ่ายมากกว่า 100% หรือมีภาระหนี้ ถ้าได้รับเงิน 10,000 บาทจะช่วยสร้างผลกระทบเชิงบวก จึงเป็นที่มาว่าถ้ารัฐบาลเลือกทางเลือกที่กำหนดกรอบเงื่อนไขตรงจุด เม็ดเงินที่ใช้อาจจะไม่มากและจะเกิดประสิทธิผลมากกว่าด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามแหล่งที่มาของเงิน ขอบเขตการใช้จ่ายและกลุ่มเป้าหมายที่รัฐบาลต้องชัดเจน ถ้ามีรายละเอียดออกมาตลาดจะมีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้น