นางสาวมยุรีย์ สีทา ผู้อำนวยการฝ่ายกำกับดูแลกิจการ เลขานุการบริษัทและนักลงทุนสัมพันธ์ เปิดเผยว่า บริษัทได้ตั้งเป้าหมายรายได้ในปี 67 จะเติบโตเป็นสองหลัก (Double Digit) เมื่อเทียบกับปี 66 ขณะที่ยอดขายจากสาขาเดิม (SSSG) คาดว่าจะเติบโต High Single Digit ส่วนอัตรากำไรขั้นต้นปีหน้าคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 16-17% ซึ่งบริษัทพยายามผลักดันกลยุทธ์ต่าง ๆ และเจรจาบริหารต้นทุนให้ดีขึ้น
ขณะที่โครงการดิจิทัลวอลเล็ตที่จะเริ่มกลางปี 67 คาดว่าจะช่วยเพิ่มยอดขายให้บริษัทค่อนข้างมาก โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าประภทซ่อมแซมตกแต่งบ้าน รวมทั้งบริษัทได้กระจายสาขาไปในจังหวัดต่าง ๆ ซึ่งแต่ละสาขาอยู่ในพื้นที่ที่มีศักยภาพสูง ซึ่งหากได้รับการสนับสนุนในแง่ของกำลังซื้อเข้ามา จะทำให้ยอดขายในกลุ่มผู้ใช้ปรับตัวสูงขึ้น
สำหรับทิศทางผลประกอบการในปีนี้ ในไตรมาส 3/66 บริษัทมีรายได้รวม 7,502.29 ล้านบาท ลดลง 0.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) จากการยอดขายสาขาเดิมลดลง 7.1% YoY เนื่องจากราคาเหล็กปรับตัวลงมา ภาพรวมยอดขายจึงลดลง และกำลังซื้อโดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือลดลงค่อนข้างมาก ขณะที่กำลังซื้อในภาคอื่นๆ ยังทรงตัว ส่งผลให้ยอดขายจากสาขาเดิมลดลงในไตรมาสนี้
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มยอดขายสาขาเดิมในไตรมาส 4/66 มีทิศทางที่ดีขึ้น โดยเริ่มเห็นสัญญาณของกลุ่มลูกค้า end user ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือปรับตัวดีขึ้น รวมถึงลูกค้ากลุ่มผู้รับเหมาเริ่มฟื้นตัว อีกทั้งไตรมาส 4/65 มีเหตุการณ์น้ำท่วมที่อุบล ซึ่งส่งผลกระทบต่อยอดขายของบริษัท แต่ในปีนี้ไม่มีนำท่วมเกิดขึ้น น่าจะทำให้ไตรมาส 4/66 จะเติบโตสูงขึ้นจากฐานต่ำในปีที่แล้ว
ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ในไตรมาส 3/66 อยู่ที่ 15.5% ดีขึ้นช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 14% มาจากการเพิ่มขึ้นของ Product Mix ที่มีมาร์จิ้นสูงมีการขยายตัวมากขึ้น โดยเฉพาะสัดส่วนสินค้ากลุ่มตกแต่ง อีกทั้งการเพิ่มขึ้นของอัตรากำไรขั้นต้นของทุกกลุ่มสินค้า
นอกจากนี้สินค้ากลุ่ม House Brand ที่ในปีนี้บริษัทตั้งเป้าให้มีสัดส่วนยอดขาย 20% ของยอดขายรวมของบริษัท ในช่วง 9 เดือนแรกทำได้ตามเป้าหมายแล้ว จากการเพิ่มสินค้าและผลักดันการขายในช่องทางต่าง ๆ ซึ่งในปี 67 คาดว่ากลุ่มสินค้า House Brand จะมีสัดส่วนมากกว่า 20% และยังมีศักยภาพในการเติบโตอย่างต่อเนื่อง