นางสาวนริสรา ชัยวัฒนะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.บลูเบลล์ เปิดเผยว่า บลูเบลล์ในฐานะผู้จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทางการเงิน ต้องการเป็นผู้นำในการสร้าง Platform ที่มีประสิทธิภาพตอบโจทย์ผู้แนะนำการลงทุน ทีมงานบลูเบลล์ตั้งใจสร้าง i-Assis ให้เป็นเครื่องมือที่พลิกโฉมวงการผู้แนะนำการลงทุนในอนาคต
"ปี 2566 บลูเบลล์ทะยานสู่อันดับที่ 7 ของบริษัทหลักทรัพย์ฯ ซื้อขายหุ้นกู้ พร้อมจับมือพันธมิตรกองทุนรวม 11 บลจ. และจะครบทุก บลจ.ชั้นนำในกลางปีหน้า บลูเบลล์เล็งเห็นถึงโอกาสและความสำคัญของอาชีพผู้แนะนำการลงทุน เราจึงได้พัฒนาสุดยอดระบบดูแลตัวแทนขายแห่งยุค "i-Assist" ที่ออกแบบจากความเข้าใจในปัญหา ข้อจำกัดและประสบการณ์ของคนทำงานโดนตรง เพื่อให้สอดรับกับจุดมุ่งหมาย "Total Solution Platform ครบครัน มั่นใจ มั่งคั่ง" ตามที่เคยประกาศไว้"
ปัจจุบัน I-Assis ได้รับการตอบรับจากผู้แนะนำการลงทุนอย่างดี เป็นเครื่องมือแสดงให้เห็นภาพรวมสินทรัพย์ของลูกค้าภายใต้การดูแลในแบบที่เข้าใจง่าย สะดวกในการตัดสินใจอย่างทันการณ์และทรงประสิทธิภาพ พร้อมแสดงรายได้จากค่าธรรมเนียมการแนะนำในวันถัดไป "i-Assis จึงครบสมบูรณ์ทุกมิติของผู้แนะนำการลงทุน
"เรามั่นใจว่า i-Assis จะเป็นปีกที่บลูเบลล์ติดให้กับผู้แนะนำการลงทุน พร้อมเชื่อมผู้แนะนำเข้ากับนักลงทุนอย่างแท้จริง" บลูเบลล์พร้อมส่งต่อ i-Assis เพิ่มศักยภาพความแข็งแกร่งทางธุรกิจที่แม่นยำแบบมืออาชีพ สนใจติดต่อเรา"นางสาวนริสรา กล่าว
ในส่วนของหุ้นกู้บลูเบลล์ออกแบบ บลูเบลล์พอยท์ (BlueBell Points) เพื่อสร้างความมั่นใจในการตัดสินใจลงทุนหุ้นกู้ เป็นการพิจารณาในภาพรวมของหุ้นกู้แต่ละตัวในหลายมิติของบลูเบลล์
นางสาวสิฏ์ระสา บุญ-หลง ประธานสายงานการตลาด บล.บลูเบลล์ กล่าวเสริมว่า ในปี 2566 เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจากมีปัจจัยลบต่าง ๆ เช่น สงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน สงครามอิสราเอล-ฮามาส ส่งผลให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจค่อนข้างแตกต่างกันในหลายประเทศ รวมถึงตลาดเกิดใหม่ (Emerging market) นอกจากนั้นราคาสินค้าโภคภัณฑ์ก็มีความผันผวนในระดับสูง และสิ่งสำคัญที่สุดคือ อัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวสู่จุดสูงสุดในรอบกว่าทศวรรษในประเทศสำคัญของโลก ส่งผลให้ราคาสินทรัพย์เสี่ยงปรับตัวลดลงอย่างมาก ในขณะเดียวกันก็ทำให้เกิดโอกาสในการลงทุนด้วยเช่นกัน
มองไปข้างหน้าในปี 2567 จะเป็นอีกปีที่มีความท้าทาย ผลจากอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับที่สูง ทำให้การฟื้นตัวชะลอลงอย่างชัดเจน และการแก้ปัญหาเงินเฟ้อ เพื่อผลทางภาพรวมทางเศรษฐกิจ ก็จะทำให้บริษัทต่าง ๆ มีผลกำไรลดลง
ในส่วนของประเทศไทย แม้เสถียรภาพโดยรวมจะค่อนข้างดี สิ่งที่ต้องติดตามคือ หนี้ครัวเรือน และหนี้สาธารณะที่อยู่ในระดับ 90% และ 61% ต่อ GDP (ตามลำดับ) ซึ่งถือว่าสูงเป็นประวัติการณ์ รวมทั้งผลกระทบจากความผันผวนของค่าเงินบาทเริ่มลดลงบ้างจากช่วงต้นปีที่ผ่านมา
การลงทุนผ่านกองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศ จะช่วยกระจายความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการรับผลตอบแทน เช่น กองทุนรวมตราสารหนี้ต่างประเทศ กองทุนรวมหุ้นต่างประเทศ และกองทุนรวมสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ นอกจากนี้ข้อดีของการลงทุนในกองทุนรวมจะมีผู้จัดการกองทุนที่มีความเชี่ยวชาญคอยดูแลและบริหารเงินลงทุนให้ รวมถึงส่วนใหญ่จะมีการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนด้วย