นายวิชาญ วิริยะภูษิต ประธานผู้บริหารสายงานการเงิน บมจ.แสนสิริ (SIRI) เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานในรอบ 9 เดือนแรกของปี 66 มีกำไรสุทธิที่ 4,760 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 91% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นกำไรสุทธิเฉพาะไตรมาส 3 จำนวน 1,557 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนหนึ่งมาจากการเพิ่มขึ้นของส่วนแบ่งกำไรจากการร่วมทุน โดยเฉพาะการร่วมทุน กับบริษัท โตคิว คอร์ปอเรชั่น และการควบคุมและบริหารจัดการค่าใช้จ่ายให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ซึ่งแสนสิริมีแผนพัฒนาโครงการร่วมทุนกับพาร์ทเนอร์ต่างๆ มากขึ้นในอนาคต
"ที่สำคัญคือกำไรในงวด 9 เดือนนี้ สูงสุดเป็นประวัติการณ์ในรอบ 39 ปีนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท และมากกว่ากำไรสุทธิทั้งปีของปีก่อน (2565) ที่ 4,280 ล้านบาท สะท้อนถึงการบริหารงานที่มีประสิทธิภาพของบริษัท เพื่อสร้างการเติบโตที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นในอนาคต และนับเป็นผลการดำเนินงานที่เติบโตตาม Business Direction ที่วางไว้"นายวิชาญ กล่าว
ขณะที่รายได้รวมรอบ 9 เดือนแรกของปีนี้อยู่ที่ 28,047 ล้านบาท คิดเป็น 70% ของเป้าทั้งปี ที่ 40,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 28% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นรายได้รวมเฉพาะไตรมาส 3/66 ที่ 9,554 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน มาจากการเปิดตัวโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง ทั้งแนวราบและแนวสูง โดยเฉพาะโครงการบ้านเดี่ยวที่แสนสิริเป็นเจ้าตลาดอสังหาฯ ในระดับลักซ์ชัวรี อาทิ นาราสิริ พหลฯ-วัชรพล บ้านเดี่ยวระดับลักซ์ชัวรี ที่ทำยอดขายดีเกินคาด และบูก้าน เอ็กซ์คลูซีฟ เรสซิเดนท์ 3 ชั้น ใน Sansiri Luxury Collection ทั้งโครงการบูก้าน กรุงเทพกรีฑา และบูก้าน พัฒนาการ ที่ได้รับการตอบรับที่ดี รวมถึงเศรษฐสิริ ดอนเมือง
โครงการแรกจากการรุกแบรนด์บ้านเดี่ยวเศรษฐสิริ 10 โครงการใหม่ในปีนี้ ที่ทำผลงานการเริ่มต้นการรุกแบรนด์ได้ดี รวมถึงกระแสตอบรับที่ดีจากโครงการคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่หรือ Ready to Move เป็นอีกหนึ่งสัญญาณการฟื้นตัวของตลาดคอนโดมิเนียม และเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญในตลาด Real Demand ในไตรมาส 3 แสนสิริ เปิดโครงการเนีย บาย แสนสิริ เป็นโครงการ Ready to Move ซึ่งสามารถขายและรับรู้รายได้ได้ทันที
"จากเป้ารายได้ทั้งปีที่ 40,000 ล้านบาท ซึ่งงวด 9 เดือน เราบันทึกรายได้รวมไปแล้ว 28,047 ล้านบาทนั้น รายได้ที่เหลืออีกราวๆ 12,000 ล้านบาท จะมาจาก Backlog ของบ้านและคอนโดมิเนียมที่ขายแล้วและกำลังทยอยส่งมอบ รวมถึงจากการขายโครงการใหม่ อาทิ เนีย บาย แสนสิริ และเศรษฐสิริ 5 โครงการใหม่"
นายวิชาญ กล่าวว่า ในช่วงสุดท้ายของปี คาดว่าจะมีปัจจัยบวกจากการที่ลูกค้าเร่งตัดสินใจซื้อและโอนที่อยู่อาศัย ก่อนหมดอายุมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ในปลายปี อีกทั้งเป็นช่วงสำคัญจากการที่ลูกค้าจะมองหาและตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยใหม่ รวมถึงการจัดแคมเปญต่างๆ ของผู้ประกอบอสังหาฯ และสถาบันการเงิน จะช่วยกระตุ้นยอดขายปลายปีได้ โดยแสนสิริเตรียมความพร้อมรองรับความต้องการที่อยู่อาศัยจากทั้งคนไทยและชาวต่างชาติในทุกเซกเมนต์ ด้วยแผนการเปิดตัวโครงการใหม่ในไตรมาส 4 รวม 22 โครงการ มูลค่า 36,000 ล้านบาท แบ่งเป็น 14 โครงการแนวราบ 24,500 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม 8 โครงการ มูลค่า 11,600 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าแสนสิริจะสามารถสร้างประวัติศาสตร์ใหม่กับผลประกอบการที่ดีที่สุดในรอบ 39 ปี นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท