นางเกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.เสนาดีเวลลอปเมนท์ (SENA) กล่าวว่า บริษัทได้ร่วมมือกับพันธมิตร "Zeroboard" ซึ่งเป็นบริษัทสตาร์ทอัพจากประเทศญี่ปุ่นที่ใช้คลาวด์เทคโนโลยีในการคำนวณและการแสดงผลลัพธ์ของการสร้างคาร์บอนสามารถใช้ได้กับทั้งองค์กร หรือผลิตภัณฑ์ ผ่านการทดลองใช้ในระดับเมืองใหญ่ๆ ในประเทศญี่ปุ่น โดยบริษัทจะนำระบบนี้เข้ามาใช้กับตัวองค์กร และในโครงการเพื่อเก็บข้อมูลคาร์บอนที่เกิดขึ้น หรือการลดลงของคาร์บอนจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตของลูกบ้าน เสนา ให้ความสำคัญ และมุ่งมั่นในการจัดการคาร์บอนอย่างจริงจัง เพื่อเป็นการช่วยยืนยันว่าการพัฒนาโครงการ และการช่วยกันลดคาร์บอนของลูกบ้านในโครงการของบริษัทสามารถทำได้จริง
โดยหลังจากนี้การพัฒนาโครงการของบริษัทจะเน้นไปที่แนวทางการช่วยปรับลดคาร์บอนลดโลกร้อน รวมถึงการประหยัดพลังงาน ซึ่งในส่วนของโครงการแนวราบจะเน้นไปที่การพัฒนาโครงการที่ใช้พลังงานเป็นศูนย์ และคอนโดมิเนียมจะเป็นโครงการ Low Carbon ซึ่งในปีนี้นำร่อง 5 คอนโดมิเนียมแรกที่ทำแบบ Low Carbon เพื่อมุ่งเป้าเจาะกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่ที่สนใจที่มีความใส่ใจในสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนของโลก โดยที่ราคาขายจะไม่สูงกว่าโครงการที่พัฒนาแบบทั่วไป
"เราลงมือทำจริง วัดจริง เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยโลกของเรา และยังช่วยส่งเสริมการใช้ชีวิตของคนในยุคปัจจุบันที่ต้องปรับตัวอย่างมาก และจากความร่วมมือครั้งนี้กับ Zeroboard เปรียบเสมือนจุดเริ่มต้นของเป้าหมายต่อไปด้านความยั่งยืนของเรา คือ The road to NET ZERO และเราตั้งเป้าเป็นบริษัทอสังหาฯเจ้าแรกที่ประกาศเป็น Net Zero" นางเกษรา กล่าว
สำหรับภาพรวมของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงโค้งสุดท้ายของปีมองว่าในระยะสั้นยังเห็นสัญญาณที่ดีขึ้นบ้าง แต่ยังต้องติดตามในส่วนของผลลัพธ์ของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ออกมาอย่างเป็นรูปธรรมก่อน ซึ่งยอมรับว่าภาคอสังหาริมทรัพย์ยังคงมีแรงกดดันจากเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยที่สูงเข้ามากระทบต่อการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยของคน โดยเฉพาะคนที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ เพราะปัจจุบันหากมองดูที่สภาพเศรษฐกิจยังถือว่าโตช้า และเงินเฟ้อในกรุงเทพฯถือว่าสูงกว่าจังหวัดอื่นๆอย่างมาก ทำให้กระทบต่อความสามารถในการซื้อ และความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยก็ลดลงตามไปด้วย
ขณะที่บริษัทมีการปรับเลื่อนการเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียม Low Rise ที่จะเปิดในช่วงปลายปี 66 ออกไปเป็นปี 67 จำนวน 2 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 2 พันล้านบาท เพราะบริษัทหันมาเดินหน้าในการระบายสต็อกที่มีมูลค่ากว่า 1 หมื่นล้านบาท เพื่อสร้างรายได้กลับมาให้กับบริษัท ประกอบกับการหันมาปรับเปลี่ยนรูปแบบการพัฒนาโครงการที่ช่วยลดคาร์บอน ซึ่งตั้งเป้าในการลดคาร์บอนในการพัฒนาโครงการได้เฉลี่ย 81% ต่อโครงการ ส่วนยอดขายในปี 66 คาดว่าจะทำได้ตามเป้าหมาย 1 หมื่นล้านบาท จากปัจจุบันที่มียอดขายได้เกือบเท่ากับเป้าหมายแล้ว