บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3/66 มีรายได้จากการขาย 144,498 ล้านบาท เป็นส่วนของกิจการต่างประเทศ 62% และกิจการประเทศไทย 38% มีผลขาดทุนสุทธิในส่วนของบริษัท 1,810 ล้านบาท จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 5,187 ล้านบาท เนื่องจากอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 11% ลดลงจาก 15% ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
เนื่องจากต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นทั้งราคาวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตอาหารสัตว์และราคาพลังงาน ประกอบกับราคาสุกรในหลายประเทศอยู่ในระดับต่ำกว่าปีก่อน โดยเฉพาะในไทย เวียดนาม และกัมพูชามีราคาเฉลี่ยลดลง 26% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากปริมาณเนื้อสุกรมีมากกว่าความต้องการบริโภค โดยในประเทศไทยได้รับผลกระทบจากปริมาณการลักลอบนำเข้าเนื้อสุกรจากต่างประเทศ (ผิดกฎหมาย) จำนวนมากอีกด้วย นอกจากนี้ ธุรกิจสุกรของบริษัทร่วมในประเทศจีนประสบปัญหาราคาตกต่ำเช่นกัน จากภาวะสินค้าล้นตลาดในขณะที่ความต้องการบริโภคยังไม่กลับสู่ภาวะปกติ
นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร CPF กล่าวถึงผลการดำเนินงานว่า ปีนี้เป็นปีที่ภาวะเศรษฐกิจมีความท้าทายจากหลายปัจจัย ทั้งภาวะเศรษฐกิจในหลายประเทศที่ไม่เป็นไปตามคาด กำลังซื้อถดถอย ต้นทุนต่างๆปรับตัวสูงขึ้น เช่น อัตราดอกเบี้ย และ ราคาวัตถุดิบทางการเกษตรจากความขัดแย้งทางการเมือง ทำให้ผลการดำเนินงานของบริษัทไม่เป็นไปตามเป้าหมาย บริษัทมีนโยบายในการลงทุนและใช้จ่ายอย่างระมัดระวัง ติดตามการดำเนินงานและสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งปรับแผนการลงทุน เช่น การพิจารณาการใช้ทรัพย์สินในการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ ลดหรือหยุดดำเนินกิจการที่มีแนวโน้มเปลี่ยนไปจากที่เคยคาดการณ์ไว้ ซึ่งคาดว่าจะทำให้ผลการดำเนินงานของบริษัทดีขึ้นตั้งแต่ไตรมาสที่ 4 เป็นต้นไป
สำหรับปี 67 บริษัทมองว่าความท้าทายและความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจและภูมิสังคมน่าจะยังคงมีอยู่ โดยยังต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและให้ความสำคัญในการบริหารค่าใช้จ่ายภายใน รวมถึงลงทุนอย่างรอบคอบและระมัดระวัง เสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันโดยเน้นการดำเนินงานที่มีการใช้สินทรัพย์อย่างมีประสิทธิภาพ ดำเนินงานด้านการตลาดและการขายด้วยนวัตกรรมสินค้าและบริการเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น เหล่านี้จะทำให้คาดว่าผลการดำเนินงานของบริษัทจะดีขึ้นเป็นลำดับ