นายกฤตพงศ์ อรชัยพันธ์ลาภ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการ บมจ. ทาคูนิ กรุ๊ป (TAKUNI) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 3/66 บริษัทฯและบริษัทย่อยมีกำไรขั้นต้น 127.27 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรขั้นต้น 14.60% ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรขั้นต้น 112.57 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างธุรกิจและนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างต้นทุนการให้บริการด้วย ส่งผลให้บริษัทฯและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ 61.12 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 14.65% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 53.31 ล้านบาท ขณะที่มีรายได้จากการบริการ จำนวน 873.13 ล้านบาท ลดลง 69.49 ล้านบาท คิดเป็น 7.37% เมื่อเทียบกับช่วงระยะเวลาเดียวกับปีก่อนที่มีรายได้จากการบริการเป็น 946.2 ล้านบาท
"การเติบโตของรายได้เป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างธุรกิจ และบริษัทรับรู้ได้รายได้ของบริษัทย่อยที่ประกอบธุรกิจจัดสรรทรัพยากรบุคคล จำนวนทั้งสิ้น 60.2 ล้านบาท ซึ่งเราได้ลงทุนไปเมื่อเดือนธันวาคม 2565 ขณะที่รายได้ธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ขนส่งทางบก และทดสอบความปลอดภัยก็ปรับตัวเพิ่มขึ้น อันเป็นความต่อเนื่องของกลยุทธ์เชิงรุกทางการตลาด" นายกฤตพงศ์ กล่าว
อย่างไรก็ตามธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับแก๊ส ไม่ว่าจะเป็นการจำหน่ายแก๊สหรือการจำหน่ายอุปกรณ์ติดตั้งระบบแก๊สปรับตัวลดลงไปตามการปรับโครงสร้างธุรกิจของบริษัทที่เปลี่ยนจากผู้ค้ามาตรา7 ไปเป็นมาตรา 10 โดยหันไปรุกธุรกิจพลังงานสะอาดมากขึ้น โดยเฉพาะการร่วมมือกับพันธมิตรในการผลิตและจัดจำหน่ายรถไฟฟ้า (EV) ทั้งรถมอเตอร์ไซด์ไฟฟ้า รถยนต์ไฟฟ้า ทั้งรถกระบะ รถยนต์พาณิชย์ รถบัส
ส่วนผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนของปี 66 มีรายได้จากการให้บริการ 2,843.62 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.90% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 2,790.62 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 139.93 ล้านบาท ลดลง 19.78% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 174.43 ล้านบาท ซึ่งการเติบโตของรายได้เป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างธุรกิจของบริษัท โดยบริษัทรับรู้ได้รายได้ของบริษัทย่อยที่ประกอบธุรกิจจัดสรรทรัพยากรบุคคล จำนวนทั้งสิ้น 180.47 ล้านบาท อันเป็นธุรกิจที่บริษัทเข้าลงทุนในเดือน ธ.ค.65 นอกจากนี้ รายได้ธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ขนส่งทางบก และทดสอบความปลอดภัยก็ปรับตัวเพิ่มขึ้น อันเป็นความต่อเนื่องของกลยุทธ์เชิงรุกทางการตลาด โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบปีต่อปี เท่ากับ 3.14% 55.73% และ 17.41% ตามลำดับ
สำหรับแผนการดำเนินงานหรือยุทธศาสตร์การดำเนินธุรกิจในอนาคต บริษัทจะมุ่งเน้นไปสู่ธุรกิจพลังงานสะอาดมากขึ้น ซึ่งเป็นเมกะเทรนด์ของโลกที่กำลังมาแรง และเป็นนโยบายหลักที่รัฐบาลให้การสนับสนุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจรถไฟฟ้า ซึ่งแผนงานในปีหน้าบริษัทจะมีการร่วมมือกับพันธมิตร ทั้งในประเทศและพันธมิตรต่างประเทศ เพื่อร่วมมือในการผลิตและจัดจำหน่ายรถไฟฟ้า โดยในช่วงที่ผ่านมาบริษัทได้มีการปรับโครงสร้างองค์กรเพื่อเตรียมความพร้อมรองรับธุรกิจใหม่ๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้น อย่างไรก็ตามในส่วนของธุรกิจปัจจุบันซึ่งยังถือเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้และเติบโตได้ดี ทั้งธุรกิจทดสอบความปลอดภัย และธุรกิจจัดสรรทรัพยากรบุคคล ก็ยังคงเดินหน้าขยายตัวต่อเนื่องควบคู่กันไป รวมถึงการมองหาโอกาสใหม่ๆ ในการดำเนินธุรกิจเพิ่มเติม