นายชูเดช คงสุนทร กรรมผู้จัดการ กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บมจ.ไวส์ โลจิสติกส์ (WICE) กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้าการเติบโตเชิงวอลุ่มเป็น 2 เท่าภายใน 3 ปี คิดเป็นอัตราเติบโตเฉลี่ย 20-30% ต่อปี เน้นการสร้างการเติบโตใน Core Product ซึ่งเป็นจุดแข็งของบริษัท และคาดว่าในไตรมาส 4/66 การนำเข้า-ส่งออกจะปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากคู่ค้าหลักของประเทศ คือ จีน อยู่ในช่วงฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ การนำเข้าส่งออกค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้น
ขณะที่การขนส่งทางอากาศบริษัทมุ่งเน้นให้ความสำคัญในตลาดที่มีความชำนาญ อาทิ จีน ฮ่องกง สิงค์โปร มาเลเซีย และขยายตลาดออกไปมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันบริษัทได้เข้าไปทำการตลาดในประเทศเวียดนาม และฟิลิปปินส์ ทั้งนี้บริษัทได้ตั้งเป้างบลงทุนในแต่ละปีอยู่ที่ 200-300 ล้านบาท โดยนำไปขยายพื้นที่คลังสินค้า การทำโครงการ EV ร่วมกับลูกค้า หรือการทำธุรกิจทั้งในรูปแบบ M&A และ JV กับคู่ค้าในปีหน้า
ในส่วนของการขยายไปยังธุรกิจ Cross Border Service มากขึ้นในอนาคต บริษัทได้มีการจัดตั้ง WICE Global Road Solutions Co.,Ltd (WGRS) ในสิงคโปร์ ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกับบมจ.ยูโรเอเชีย โทเทิล โลจิสติกส์ (ETL) เพื่อให้บริการในลักษณะ Road Solution และให้บริการในลักษณะ Customize solution ให้กับลูกค้าและขยายพื้นที่ให้บริการในตลาดใหม่ ๆ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับกลุ่มบริษัทของ WICE และคาดว่าจะเห็นความชัดเจนของการขยายธุรกิจดังกล่าวในปีหน้า
สำหรับความร่วมมือกับพันธมิตรของบริษัทในการทำโครงการต่าง ๆ เช่น Green Logistics Hub ซึ่งเป็นความร่วมมือกับ บมจ.สมบูรณ์ แอ๊ดวานซ์ เทคโนโลยี (SAT) คาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ในปี 67 ขณะที่โครงการ EV ซึ่งเป็นการส่งเสริมด้าน ESG ให้กับลูกค้า โดยจะเป็นการขนส่งสินค้าจากลาวไปยังญี่ปุ่นโดยใช้รถ EV เข้ามาสนับสนุนโครงการ เพื่อให้การขนส่งเป็นลักษณะ Net Zero Emission โดยโครงการดังกล่าวเป็นการโครงการระยะยาว 15 ปี คาดว่าจะสร้างรายได้ให้กับบริษัทประมาณ 200 ล้านบาท เริ่มต้นปี 67 เป็นต้นไป
ไตรมาส 3/66 รายได้จากการบริการอยู่ที่ 907 ลดลง 43% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) จากอัตราค่าระวางเรือที่มีการปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับอุตสาหกรรมการนำเข้าส่งออกช่วงที่ผ่านมาปรับลดลงจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตามบริษัทยังรักษาอัตราการทำกำไรได้ดี โดยอัตรากำไรขั้นต้นสำหรับงวด 9 เดือนอยู่ที่ 19.09% เทียบกับปีที่แล้วซึ่งอยู่ที่ 17.10% เนื่องจากบริษัทมีการบริหารจัดการต้นทุนตามกลยุทธ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
กำไรสุทธิของบริษัทในไตรมาส 3/66 อยู่ที่ 32 ล้านบาท ลดลง 72% YoY จากสภาวะตลาดที่ซบเซา ซึ่งได้รับผลกระทบจากทั้งตลาด รวมทั้งดัชนีค่าระวางเรือปรับตัวลงค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว อย่างไรก็ตามน้ำมันมีแนวโน้มที่ปรับตัวสูงขึ้นในอนาคต เนื่องจากภาวะสงครามอาจจะกระทบราคาน้ำมันในอนาคต อาจจะทำให้ค่าระวางปรับตัวสูงขึ้นในปีหน้าได้เช่นกันอย่างไรก็ตามแนวโน้มค่าระวางเรือในปีหน้าอาจจะไม่ปรับลงไปมากกว่านี้ และหากตลาดกลับมาปรับตัวดีขึ้น ประกอบกับแผนการดำเนินงานต่าง ๆ ของบริษัท อัตรากำไรจะปรับตัวดีขึ้นกลับมาในระดับปกติได้
นอกจากนี้ภาครัฐมีความพยายามในการส่งเสริมการลงทุน เพื่อให้มีการลงทุนใหม่ ๆ เข้ามาในประเทศมากขึ้น ซึ่งเป็นนโยบายที่ดี ที่ทำให้การดำเนินธุรกิจนำเข้า ส่งออกของบริษัทเติบโตได้ดีในอนาคต ถือเป็นนโยบายที่ส่งผลเชิงบวกแต่สนับสนุนต่อธุรกิจในการนำเข้าส่งออกมากขึ้น
ล่าสุดที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทอนุมัติโครงการจำหน่ายหุ้นซื้อคืน 1.67% ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด หรือ 10,900,000 หุ้น เพื่อการบริหารการเงิน (Treasury Stock) กำหนดระยะเวลาจำหน่ายหุ้นซื้อคืน นับตั้งแต่วันที่ 20 พ.ย.66-16 ต.ค.69 ราคาขายต้องไม่น้อยกว่า 85% ของราคาปิดของหุ้นเฉลี่ย 5 วันทำการซื้อขายก่อนหน้าวันที่ทำรายการจำหน่ายหุ้นที่ซื้อคืน และเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาจำหน่ายหุ้นที่ซื้อคืน ตามที่ระบุข้างต้นแล้วไม่จำหน่ายหรือจำหน่ายไม่หมด บริษัทฯ จะดำเนินการลดทุนที่ชำระโดยวิธีตัดหุ้นจดทะเบียนที่ซื้อคืนและยังมิได้จำหน่ายทั้งหมด
"ที่บริษัทมีมตินำหุ้นที่ซื้อคืนมากลับมาขายในตลาด เป็นไปตามเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์ที่จะต้องประกาศออกไป แต่บริษัทไม่ได้มีความตั้งใจในการขายหุ้นออกมาในสภาวะตลาดแบบนี้ ซึ่งหากตลาดไม่เอื้อสุดท้ายหุ้นดังกล่าวจะนำไปลงทุนในอนาคต" นายชูเดชกล่าว