หุ้น MINT บวก 0.91% มาอยู่ที่ 27.75 บาท เพิ่มขึ้น 0.25 บาท มูลค่าซื้อขาย 23.22 ล้านบาท เมื่อเวลา 10.15 น. โดยเปิดตลาดที่ 27.75 บาท ราคาปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 28.00 บาท และราคาปรับตัวลงต่ำสุดที่ 27.50 บาท
บล.กรุงศรี ระบุว่า ประเด็นสำคัญที่ได้จากการประชุมนักวิเคราะห์ มุมมองของเราต่อ บมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) ค่อนไปทาง neutral มากขึ้น จากเดิมที่มองลบ เพราะคาดว่าผลประกอบการในปี 67 จะกลับไปอยู่ในระดับเท่ากับปี 62
(i) ธุรกิจโรงแรม (80% ของรายได้รวม): ในเดือน ต.ค.66 occupancy rate (OCC) โดยรวมของธุรกิจโรงแรมอยู่ที่ 70% ในขณะที่ RevPar เพิ่มขึ้นถึง 30% จากระดับก่อน COVID-19 มาจากการฟื้นตัวของโรงแรมในไทย ในขณะที่โรงแรมในยุโรป (75% ของรายได้จากธุรกิจโรงแรม) เข้าสู่ช่วง low season ในเดือน พ.ย.-ธ.ค.และโรงแรมในมัลดีฟส์ยังคงเผชิญความท้าทายมากขึ้นจากฐานสูงในปีที่แล้ว ส่วน ธุรกิจอาหาร (20% ของรายได้รวม): China Hub ยังซบเซา ในขณะที่ SSSG Thai Hub ติดลบอยู่ที่ -1.6-1.7% อย่างไรก็ตาม TSSS เพิ่มขึ้น 1-2% เนื่องจากมีการขยายสาขาร้านในเดือน ต.ค.66
(ii) ผู้บริหารคาดว่า EBITDA margin ในปี 67 จะกลับไปอยู่ระดับเดียวกับเมื่อปี 62 จากกลยุทธ์การกำหนดอัตราค่าห้องพักสูงขึ้น และการคุมต้นทุนผ่านนโยบายการป้องกันความเสี่ยงต้นทุนสาธารณูปโภคในยุโรปและคาดจะเพิ่มสัดส่วนการป้องกันมากขึ้นในปี 67 ทั้งนี้ เพื่อบรรเทาผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยที่สูง MINT จึงชำระหนี้ก่อนกำหนด และตั้งเป้าทำให้สัดส่วน IBD/E ลดลงเหลือ 1x ในปี 67 (จากเดิม 1.05x)
แนวโน้มปี 67 MINT คาดว่า ADR จะกลับมาเติบโตในระดับปกติ (จากที่เพิ่มขึ้นถึง 40% yoy ในปี 2023) และ OCC จะกลับมาอยู่ระดับปกติที่ 71% (จากที่เฉลี่ย 65% ในงวด) ผู้บริหารคาดว่าเป้าที่วางไว้จะช่วยหนุน RevPar และรายได้ของธุรกิจโรงแรมให้เพิ่มขึ้นในปี 67 สำหรับธุรกิจอาหาร MINT คาดว่า China Hub จะฟื้นตัวขึ้นจากนโยบายกระตุ้นการบริโภคของรัฐบาล ขณะที่จะเดินหน้าขยายกิจการในภูมิภาค อย่างเช่น ในตลาด CLMV ฯลฯ
Analysis คาดว่ากำไรใน Q4/66 จะชะลอตัวลงเพราะเป็นช่วง low season เราคาดว่าผลประกอบการจะอ่อนตัวลงเพราะ (i) เป็นช่วง low season ในยุโรป (ii) คาดว่าต้นทุน และค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยจะสูงขึ้น สำหรับแนวโน้มในปี 67 เชื่อว่า MINT จะกลับมาเติบโตในระดับปกติ และผ่านช่วงของการฟื้นตัวไปแล้ว คาดว่ากำไรสุทธิจะกลับไปอยู่ที่ประมาณ 7 พันล้านบาท ซึ่งเป็นระดับเดียวกับเมื่อปี 62
ราคาเป้าหมายตาม Consensus อยู่ที่ 40.20 บาท/หุ้น ราคาหุ้น MINT ปรับลดลงมา 16% ytd โดย underperform ดัชนี SET และหุ้นอื่นในกลุ่ม ซึ่งเราเชื่อว่าสะท้อนถึงความกังวลของนักลงทุนเกี่ยวกับผลประกอบการที่ต่ำเกินคาดไปเรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ ราคาหุ้นในปัจจุบันคิดเป็น EV/EBITDA ปี FY24 ที่ 10x (ต่ำกว่าของ CENTEL ที่ 12x และของ ERW ที่ 15x) ซึ่งเรามองว่ามี downside ที่จำกัด โดยความเสี่ยงหลักอยู่ที่ความตึงเครียดทางด้านภูมิรัฐศาสตร์และต้นทุนที่สูงเกินคาด
ด้าน บล.ดาโอ คงประมาณการกำไรปี 66 คาด Q4/66 โต YoY ได้ต่อเนื่องจากไทยและมัลดีฟส์ช่วยหนุน เรายังคงประมาณการกำไรสุทธิในปี 66 ที่ 6.9 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น +61% YoY จากการฟื้นตัวในทุกประเทศ โดยเฉพาะไทยและยุโรป ขณะที่คาดกำไรปกติใน Q4/66 จะเติบโตได้ดีต่อเนื่อง YoY ได้ประโยชน์จากไทยและมัลดีฟส์เข้าสู่ช่วง High season และคาดกำไรสุทธิในปี 67 จะอยู่ที่ 7.3 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นได้ต่อเนื่องอีก 5% YoY
ด้านราคาหุ้นลดลง -4% ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา จากผลกระทบจากสถานการณ์ที่อิสราเอล ขณะที่เราคาดว่าราคาหุ้นลงมารับข่าวร้ายไประดับนึงแล้ว ด้านราคาหุ้น underperform เมื่อเทียบกับ ERW ที่เพิ่มขึ้น +14% และ CENTEL ที่ +6% ขณะที่ valuation ยังถูกกว่ากลุ่มฯซื้อขาย 2023E EV/EBITDA ที่ 10x (-2.00SD below 10-yr average EV/EBITDA) เทียบกับ ERW และ CENTEL ที่ average EV/EBITDA เราจึงมองราคาหุ้นที่ลงมาเป็นจังหวะเข้าซื้อ