พร็อพเพอร์ตี้ ดีเอ็นเอ (Property DNA) สรุปผลประกอบการของผู้ประกอบการ 10 รายแรกในตลาดหลักทรัพย์ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 66 แสนสิริสร้างกำไรได้สูงที่สุด โดยมีเอพีครองอันดับที่ 1 ในแง่ของรายได้ และมีความเป็นไปได้ที่แสนสิริจะทำกำไรได้ มากเป็นอันดับที่ 1 ในปีนี้ เพราะดูจากโครงการที่รอโอนกรรมสิทธิ์ และที่จะเปิดขายใหม่ในช่วงต่อจากนี้ถึงสิ้นปี โดยในช่วง 9 เดือนที่ผ่าน มามีผู้ประกอบการเพียง 4 รายเท่านั้นที่ทำรายได้มากกว่า 20,000 ล้านบาท
ผลประกอบการรวม 9 เดือนแรกของ 39 บริษัทผู้ประกอบการที่พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยเพื่อขายในตลาดหลักทรัพย์มีรายได้ รวมเพิ่มขึ้นประมาณ 1.37% ซึ่งอาจจะเพิ่มขึ้นไม่มากนัก แต่ถ้าพิจารณาในด้านของกำไรที่ลดลงประมาณ 6.37% ซึ่งลดลงค่อนข้างมาก การที่ทั้งรายได้และกำไรของผู้ประกอบการ 39 รายเปลี่ยนแปลงไปจากช่วงเวลาเดียวกันกับปีที่แล้ว ส่วนหนึ่งมาจากการชะลอของกำลังซื้อ ในไตรมาสที่ 3/66 ซึ่งเห็นได้ชัดเจนจากรายได้รวมของทั้ง 39 บริษัท ลดลง 2.9% ในส่วนของกำไรลดลงถึง 20%
"ผลประกอบการในไตรมาสที่ 3 สะท้อนให้เห็นว่าการที่ผู้ประกอบการมีรายได้ลดลงไม่มาก อาจจะเป็นเพราะว่าช่วงไตรมาส ที่ 3 พวกเขาพยายามสร้างรายได้โดยเฉพาะจากการโอนกรรมสิทธิ์โครงการที่สร้างเสร็จแล้ว และมีการจัดโปรโมชั่นในเรื่องของราคา ออกมาสร้างความน่าสนใจ ยอมลดกำไรลงบ้าง และมีการจัดกิจกรรมต่อเนื่องไปถึงไตรมาสที่ 4 ของปีนี้เลย"
ผลประกอบการของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ 10 อันดับแรกที่ทำกำไรและรายได้มากที่สุดช่วง 9 เดือนแรกของปี 66
ลำดับ บริษัท กำไรสุทธิ (ล้านบาท) % เปลี่ยนแปลง รายได้(ล้านบาท) % เปลี่ยนแปลง 1 แสนสิริ 4,760 +91% 28,047 +28% 2 เอพี 4,719 -0.06% 28,921 -3% 3 ศุภาลัย 4,028 -34% 21,538 -15% 4 แลนด์แอนด์เฮ้าส์ 4,004 -37% 21,289 -23% 5 พฤกษา 2,211 +35% 19,900 +9% 6 เอสซี แอสเสท 1,638 +1.6% 15,669 +10% 7 เฟรเซอร์สฯ 1,544 -24% 13,103 +3% 8 ออริจิ้น 3,063 +0.3% 12,686 +8% 9 สิงห์ เอสเตท -168 10,072 +19% 10 พร็อพเพอร์ตี้ฯ -688 7,174 +4%
ผู้ประกอบการที่มีกำไรมากที่สุดในช่วง 9 เดือนแรก ของปีพ.ศ.2566 คือ แสนสิริ ที่ทำกำไรเก็บยอดไปได้กว่า 4,760 ล้าน บาทเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วกว่า 91% ส่วนรายได้ในช่วงเดียวกันได้ 28,046 ล้านบาทเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 28% ตามมาด้วยเอพี ที่มีกำไรลดลงเล็กน้อย โดยมีกำไรประมาณ 4,719 ล้านบาท ส่วนของรายได้รวมประมาณ 28,921 ล้านบาทลดลงประมาณ 3% เมื่อเทียบ กับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ตามมาด้วยศุภาลัยในอันดับที่ 3 ด้วยกำไร 4,027 ล้านบาทลดลงจากปีที่แล้ว 34% ส่วนรายได้รวมประมาณ 21,537 ล้านบาท ลดลงจากปีที่แล้วกว่า 15%
ปี 66 ตลาดอสังหาฯ เผชิญกับปัจจัยท้าทาย อาทิ ปัญหาเรื่องของการขอสินเชื่อธนาคารเป็นปัจจัยสำคัญ และทางผู้ประกอบ การเองก็พยายามช่วยเหลือผู้ซื้อในทุกทางแล้วก็ตาม แต่ด้วยความเข้มงวดของสถาบันการเงินจึงยังมีกลุ่มของผู้ขอสินเชื่อธนาคารที่ไม่ได้รับ สินเชื่อเป็นสัดส่วนที่ไม่ต่ำกว่า 40-50% บางโครงการอาจจะมากกว่า 50% ไปค่อนข้างมาก รวมไปถึงการได้วงเงินสินเชื่อจากธนาคารที่ ต่ำกว่ามูลค่าของบ้านหรือคอนโดมิเนียมที่ต้องการซื้อ ดังนั้น การลดการเปิดขายโครงการใหม่ลงก็เป็นทางออกที่ดีในสถานการณ์แบบนี้ จึงมี ผลให้รายได้พวกเขาจากการเปิดขายโครงการใหม่ลดลง กำไรก็ลดลงบ้างเพราะอาจจะมีการลดราคาขายลง แต่ก็ยังมีผู้ประกอบการบาง รายที่สร้างรายได้และกำไรเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
ปี 66 อาจจะเป็นปีที่ภาวะเศรษฐกิจเพิ่งจะอยู่ในช่วงฟื้นตัวจากช่วงชะลอตัวปี 63-65 และปัญหาเศรษฐกิจในระดับต่างๆ ใน ช่วง 3 ปีดังกล่าวส่งผลกระทบต่อเนื่องมาถึงปี 66 หลายธุรกิจอาจจะเพิ่งเริ่มเห็นการชะลอตัวในปีนี้ เนื่องจากช่วงก่อนหน้านี้ เศรษฐกิจใน ภาพรวมชะลอตัวหมดจึงไม่เห็นความแตกต่าง แต่เมื่อปัจจัยหลายๆ อย่างเริ่มดีขึ้นแต่บางอย่างยังมีผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจต่อเนื่อง จึงเริ่มเห็นได้ชัดเจนขึ้น
การฟื้นตัวแบบชัดเจนอาจจะยังต้องรอต่อไปถึงปี 67 โดยเฉพาะนโยบายของรัฐบาลหลายอย่างที่คงต้องรอปีหน้า ปี 66 อาจ จะไม่ใช่ปีที่ดี แต่ผู้ประกอบการบางรายกลับสร้างกำไรและรายได้มากกว่าปีที่แล้วมากมายแบบชัดเจน อีกทั้งยังมีโครงการที่รอเปิดขายใน ไตรมาสที่ 4 อีกต่อเนื่อง เพราะผู้ประกอบการหลายรายมองเรื่องของการทำการตลาดระยะยาวมากกว่าไม่ได้ต้องการแค่เพียงปีนี้ ดังนั้น ปี 67 จะเป็นปีที่การเปิดขายโครงการใหม่ทั้งบ้านจัดสรรและคอนโดมิเนียมดีขึ้นเมื่อเทียบกับปีนี้
โครงการที่เปิดขายในไตรมาสที่ 4 ของผู้ประกอบการบางรายคงคาดหวังต่อเนื่องไปถึงปีหน้าไม่ได้คาดหวังว่าจะปิดการขาย ภายในปีนี้แน่นอน เพราะจำนวนและมูลค่าโครงการสูงมาก เช่น แสนสิริเปิด 22 โครงการมูลค่ารวม 36,000 ล้านบาท เอพีเปิดขายอีก 23 โครงการมูลค่ารวมกว่า 35,740 ล้านบาท และที่น่าสนใจคือแลนด์แอนด์เฮ้าสที่จะเปิด 9 โครงการแต่มูลค่ารวมกว่า 45,000 ล้าน บาท และอีกหลายรายที่มีมูลค่ารวมของโครงการที่จะเปิดขายในไตรมาสที่ 4 มากกว่า 10,000 ล้านบาท