นายพงศ์ธาริน ทรัพยานนท์ หัวหน้าการลงทุนตราสารหนี้ประเทศไทย บลจ.เบอร์ดีน(ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐในปี 66 ค่อนข้างแข็งแกร่ง ส่งผลให้ดอกเบี้ยปรับขึ้นสูงในระยะเวลาค่อนข้างสั้น อย่างไรก็ตาม มองว่าดอกเบี้ยสหรัฐน่าจะถึงจุดสูงสุดแล้ว ดังนั้น การลงทุนในตราสารหนี้ที่เป็นสกุลดอลลาร์เป็นโอกาสที่ดี
ในปี 67 คาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐน่าจะชะลอตัวลง แต่ไม่ถึงระดับที่วิกฤตหรือไม่น่าจะเกิด Hard Landing แต่จะเป็นการชะลอตัวเพียงพอที่จะลดอัตราดอกเบี้ยลงได้ คาดว่าอัตราดอกเบี้ยน่าจะปรับลดประมาณ 1-1.25% ในปีหน้า ซึ่งอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 5.5% หากลดลงมาอยู่ที่ 4.5% ระดับนี้ถือว่ายังน่าสนใจในการลงทุนตราสารหนี้
อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงของตราสารนี้มีความหลากหลายและแตกต่างกันค่อนข้างสูง หากเลือกลงทุนใน Money Market Fund จะมีความเสี่ยงต่ำความผันผวนเกือบจะสูง แต่หากลงทุนตราสารหนี้ High Yield ความเสี่ยงสูงมากขณะที่ผลตอบแทนก็สูงมากตามไปด้วย ดังนั้น จึงแนะนำการลงทุนในกองทุนที่มีอายุเฉลี่ยประมาณ 1-3 ปีแต่ยาวมากกว่า Money Market Fund เนื่องจากเส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐมีความปกติ ผลตอบแทนไม่สัมพันธ์กับระยะเวลาการถือครองตราสารหนี้
นอกจากนี้ แนะนำการลงทุนหุ้นกู้ Investment Grade เนื่องจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจในปีหน้ายังคงมีอยู่ แม้ว่าจะมีโอกาสที่เศรษฐกิจสหรัฐจะชะลอตัว แต่ยังมีความเสี่ยง ดังนั้น Investment Grade น่าสนใจกว่า High Yield เนื่องจาก Spread ที่ได้ของ High Yield ในปัจจุบันไม่เหมาะสมกับความเสี่ยงที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต
โดยได้แนะนำกองทุน ABGFIX เน้นการลงทุนในตราสารหนี้คุณภาพทั่วโลกในสกุลเงินดอลลาร์ โดยกระจายการลงทุนคลอบคลุมตลาดพัฒนาแล้วและตลาดเกิดใหม่ในอุตสาหกรรมแต่อาจจะมีการปรับเปลี่ยนขึ้นอยู่กับสถานการณ์ และลงทุนในกลุ่มสถาบันการเงินเป็นหลักกว่า 24.90% เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีความแข็งแกร่งหลังจากผ่านภาวะโควิด-19 รวมทั้งเน้นการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัย
กองทุน ABGFIX มีอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้เฉลี่ยอยู่ในเกณฑ์ไม่ต่ำกว่า A- และมีความผันผวนต่ำ ด้วยอายุเฉลี่ยตราสารหนี้ของพอร์ตน้อยกว่า 2 ปี ลดความเสี่ยงที่อาจเกิดจากการเปลี่ยนแปลงขออัตราดอกเบี้ย รวมทั้งตั้งเป้าอัตราผลตอบแทน SOFR +1.75-2.25% กับตราสารหนี้คุณภาพสูงทั่วโลกพร้อมส่วนเพิ่มจากการลงทุนใน High Yield Bond ไม่เกิน 20% ทั้งนี้อัตราผลตอบแทนของ ABGFIX อยู่ที่ประมาณ 7% ขณะที่กองทุนในประเทศไทยมีอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยประมาณ 3% ขึ้นอยู่กับจำนวนหุ้นกู้ในกองทุน และบริษัทได้เปิดขาย IPO กองทุน ระหว่างวันที่ 20-30 พ.ย. 66 และเริ่มลงทุน 4 ธ.ค.