บมจ.เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป (MAJOR) แนวโน้มผลประกอบการในไตรมาส 4/66 สดใสจากหนังไทยกลับมาคึกคักทำรายได้สูง โดยเรื่อง"สัปเหร่อ"สร้างกระแสได้ดีเยี่ยมทำรายได้ทะลุ 800 ล้านบาท และ "ธี่หยด" ที่ออกฉายในเวลาไล่เลี่ยกันก็สามารถทำเงินใกล้ 500 ล้านบาทแล้ว ยังมีหนังไทย "4 King" ภาค 2 ที่กำลังเข้าฉายต่อ ขณะเดียวกันรายได้จากโฆษณาคาดว่าจะดีขึ้นในปี 67 และหนังฟอร์มยักษ์ก็กำลังมา
นายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บล.กรุงศรี พัฒนสิน มองภาพบวกต่อหุ้น MAJOR จากทิศทางของภาพยนตร์ไทยกลับมาคึกคัก โดยเฉพาะสัปเหร่อ ซึ่งทำรายได้เกือบทะลุ 800 ล้านบาท ซึ่งจะบันทึกรายได้เข้ามาในไตรมาส 4/66 เช่นเดียวกับ ธี่หยด ทำรายได้เกือบ 500 ล้านบาท จากสถานการณ์ปัจจุบันทำให้มีอัพไซด์ เบื้องต้นคาดว่าไตรมาส 4/66 จะมีกำไร 400 ล้านบาท เติบโต 522% YoY และ 360% QoQ
อุตสาหกรรมสื่อในไทยยังมีโอกาสฟื้นตัวตามโครงสร้างเศรษฐกิจภายในประเทศ แนวโน้มปีหน้าอาจจะเร่งตัวขึ้นจากนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตและภาคการท่องเที่ยวที่เริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้หุ้นกลุ่ม Media มีโอกาสที่ผลประกอบการจะดีขึ้นในปีหน้าด้วยเช่นกัน นอกจากนี้อุตสาหกรรมภาพยนตร์กลับมาคึกคักเป็นโมเมนตัมเชิงบวก หนังฟอร์มยักษ์มีโอกาสทำให้รายได้ของ MAJOR เร่งตัวขึ้น ส่วนปัจจัยเสี่ยงสำคัญ คือ โรคระบาด หากมีโรคใหม่กลับเข้ามาอาจกระทบต่อการดำเนินงานของ MAJOR
ในแง่ของราคาหุ้นปัจจุบันเทรดอยู่ที่ P/E 11 เท่า ราคาค่อนข้างถูกเทียบกับการเติบโตของกำไรที่ปีนี้คาดว่าจะเติบโตใกล้ 470% และเก็งปันผลสูงระดับประมาณ 7.5% แนะนำ "ซื้อ" ราคาเป้าหมาย 19.10 บาท
ขณะที่ บล.บัวหลวง ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ในไตรมาส 4/66 ของ MAJOR มีรายได้จากหนังไทยเข้ามาหนุนจากทั้งธี่หยด (500 ล้านบาท) และสัปเหร่อ (700 ล้านบาท) และน่าจะมีหนังไทยเข้ามาหนุนเพิ่มอีกอย่าง 4 Kings ภาค 2 นอกจากนั้น รายได้จากอาหารและเครื่องดื่มยังปรับตัวขึ้นทำสถิติใหม่
นอกจากนี้ ไตรมาส 4/66 จนถึงไตรมาส 1/67 จะมีภาษีเงินได้รอการตัดบัญชี - Deferred Tax รอบันทึกอีกราว 140 ล้านบาท โดยรวมแล้วคาดกำไรสุทธิปีนี้มีโอกาสแตะ 1 พันล้านบาท หลังจาก 9 เดือนแรกทำกำไรสุทธิไปแล้ว 706 ล้านบาท
ขณะที่ปี 67 คาดหน้าหนังต่างประเทศทรงตัวจากปี 66 จากผลกระทบของการประท้วงหยุดงานของ SAG-AFTRA หรือ สมาพันธ์ศิลปินโทรทัศน์และวิทยุอเมริกันในช่วงเวลาหนึ่ง (การประท้วงจบแล้ว) แต่คาดหนังไทยจะมีโมเมนตัมที่ดีต่อเนื่อง โดยเฉพาะหนังจากการร่วมทุนกับพาร์ทเนอร์ เช่น BEC (ปี 66 จำนวน 1 เรื่อง และคาดปี 67 อีก 3 เรื่อง) และยังมีการตั้ง JV ร่วมกับ WORK ในปีหน้ามีโอกาสที่สัดส่วนรายได้จากหนังไทยจะแตะ 50% ซึ่งกลยุทธ์การขยายโรงหนังในพื้นที่ต่างจังหวัด ถือว่าตอบโจทย์หนังไทยด้วย
โมเมนตัมหนังไทยที่ดีจะหนุนรายได้ในส่วนของโฆษณา Sponsor และ Tie-in ในปีหน้า ซึ่งคาดจะหนุนรายได้โฆษณาในภาพรวมของ MAJOR เติบโตจากปีนี้ และรายได้การขาย Popcorn ใน 7-Eleven ถือเป็นตัวสร้างแบรนด์แต่ไม่ได้สร้างกำไรมาก ในอนาคตคาดจะขยายตลาดที่ใหญ่และมีกำไรมากกว่า โดยตั้งเป้าหมาย Con-to-box แตะ 70-80% ในปีหน้าและ 100% สำหรับภาพระยะยาว
เรามองว่าราคาหุ้นในปัจจุบันสะท้อนประเด็น "สัปเหร่อ" และ "ธี่หยด" ไปมากแล้ว แต่หากมีหนังไทยเรื่องใหม่มากระตุ้นกระแสต่อเนื่อง คาดราคาหุ้นจะยังคงมีโมเมนตัมที่ดี โดยเราคาดหวัง 4 King ภาค 2 จะมาหนุนราคาหุ้นต่อ ยังคงคำแนะนำ "ซื้อเก็งกำไร"
ด้าน บล.เอเชีย พลัส ระบุในบทวิเคราะห์ว่า MAJOR ไตรมาส 3/66 กำไรสุทธิ 104 ล้านบาท ดีกว่าคาดเล็กน้อย แม้ว่าผลประกอบการปรับตัวลงแรงเมื่อเทียบกับไตรมาส 2/66 ที่มีกำไรพิเศษจากการขายหุ้น MPIC จำนวน 346 ล้านบาท และเป็นการปรับลดลงตามฤดูกาล ขณะที่ทิศทางไตรมาส 4/66 สดใสอย่างมาก จากภาพยนตร์ไทยเรื่อง "สัปเหร่อ" ที่กวาดรายได้มากกว่า 600 ล้านบาท ตามด้วย "ธี่หยด" ที่ทำรายได้เกินหลักร้อยล้านบาทเร็วที่สุดของปี
นอกจากนี้ ช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปีมีภาพยนตร์ไทยและต่างประเทศที่น่าสนใจจ่อคิวเตรียมเข้าฉายจำนวนมาก ฝ่ายวิจัยเชื่อว่ามีโอกาสสูงที่ไตรมาส 4/66 MAJOR จะสร้างรายได้จากการขายตั๋วภาพยนตร์ทะลุ 1.4 พันล้านบาท เติบโตสูงกว่าไตรมาส 2/66 ที่โดยปกติเป็นไตรมาสที่ MAJOR ทำรายได้สูงสุดของปี ส่งผลต่อเนื่องไปถึงรายได้จากส่วนธุรกิจอื่น ๆ ให้ดีตามไปด้วย
แนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 4/66 น่าจะออกมาสดใสอย่างมากต่อเนื่องถึงปี 67 ที่กระแสภาพยนตร์ไทยถูกจุดติดขึ้นอีกครั้ง ทำให้ฝ่ายวิจัยพิจารณาปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 66-67 อีก 41% และ 10% ตามลำดับ โดยคาดปี 67 MAJOR จะมีกำไรสุทธิ 1,001 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 297% YoY แต่ถ้าหักกำไรพิเศษจากการขายหุ้น MPIC จะมีกำไรจากการดำเนินงาน 706 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 468% YoY ขณะที่ปี 67 คาดการณ์กำไรจากการดำเนินงาน 827 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 17% YoY
ราคาหุ้น MAJOR ปิดเทรดเที่ยงวันนี้ที่ 15.60 บาท ลดลง 0.10 บาท (-0.64%)
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย(บาท/หุ้น) เคจีไอ Outperform Market 20.60 เอเชียพลัส Overweight 20.00 ยูโอบี เคย์เฮียน ซื้อ 18.00 ทิสโก้ ซื้อ 23.20 หยวนต้า ซื้อ 20.90