นายวิชาญ วิริยะภูษิต ประธานผู้บริหารสายงานการเงิน บมจ.แสนสิริ (SIRI) เปิดเผยว่า ผลประกอบการปี 66 คาดจะเติบโตมากกว่า 50% หลังจากกำไรสุทธิงวด 9 เดือนแรกทำได้ 4,760 ล้านบาททำ All Time High ไปแล้ว ดังนั้น ทั้งปีจะทำ All Time High อย่างแน่นอน ขณะที่ปี 67 คาดว่ายอดโอนจะเติบโตต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 10-20% และจะทำให้กำไรเติบโตได้ถึง 20%
ในปีหน้าบริษัทคาดว่าจะเปิดตัวโครงการได้มากกว่าหรือใกล้เคียงกับปี 66 ที่ได้เปิดตัวไปทั้งหมด 46 โครงการ มูลค่าโครงการรวมมากกว่า 66,000 ล้านบาท โดยบริษัทยังมีที่ดินในกรุงเทพฯและปริมณฑลอีกหลายทำเลที่สามารถพัฒนาโครงการได้ รวมทั้งในเมืองท่องเที่ยว อาทิ เชียงใหม่ ภูเก็ต พัทยา ขอนแก่น หรือ หัวหิน ที่ยังมีอัตราการเติบโตดี และหากมีนักเที่ยวกลับเข้ามาเพิ่ม ก็จะพิจารณาเปิดโครงการเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในภูเก็ต ซึ่งบริษัทให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงการในพื้นที่นี้มาก
พร้อมกันนั้น บริษัทยังมีโอกาสเข้าไปพัฒนาโครงการใหม่ ๆ เพิ่มเติมในพื้นที่เดิม ซึ่งจะเป็นโครงการที่มีระดับราคาต่างจากเดิม อาทิ โครงการสราญสิริ ช่วงราคา 6-12 ล้านบาท ควบคู่กับการเปิดโครงการอณาสิริ ช่วงราคา 4-8 ล้านบาท
นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฎิบัติการ SIRI กล่าวว่า การท่องเที่ยวจะเป็นส่วนสำคัญในการกระตุ้นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้คึกคักได้ โดยเฉพาะชาวต่างชาติที่เข้ามาเพิ่ม จะช่วยให้ยอดขายคอนโดมิเนียมของบริษัทเพิ่มสูงขึ้น โดยการเติบโตของธุรกิจอสังหาฯ ปกติจะสอดคล้องกับการเติบโตของ GDP ประเทศ หากปีหน้านโยบายของรัฐบาลสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโตได้ถึง 4% เชื่อว่าธุรกิจอสังหาฯปีหน้าก็จะฟื้นมาเติบโตได้ถึงราว 6%
อย่างไรก็ตาม บริษัทยังต้องติดตามปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ อาทิ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างรัสเซีย-ยูเครน รวมทั้งอิสราเอลและกลุ่มฮามาส ซึ่งอาจจะกระทบกับการส่งออกของไทย รวมทั้งทิศทางอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงขึ้น คาดว่าจะเติบโตถึงจุดสูงสุดแล้ว แต่ยังต้องติดตามว่าระยะเวลาที่ดอกเบี้ยจะคงไว้ในระดับสูงมากไปยาวนานแค่ไหน
นอกจากนี้ ยังมีประเด็นด้านต้นทุน ทั้งราคาน้ำมันที่จะส่งผลต่อต้นทุนวัสดุก่อสร้างและค่าขนส่ง รวมทั้งค่าแรงที่รัฐบาลจะมีการผลักดันให้สูงขึ้นก็จะส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้นเล็กน้อย โดยหากค่าแรงขั้นต่ำเพิ่มขึ้นเป็น 400 บาท จะทำให้ค่าก่อสร้างสูงขึ้นประมาณ 3% ส่งผลให้ราคาขายต้องปรับเพิ่ม 2% ในปี 67
ในไตรมาส 3/66 บริษัทมียอดขาย 7,581 ล้านบาท ลดลง 51% YoY และลดลง 21% QoQ เนื่องจากยอดขายในช่วงเดียวกันของปีก่อนและไตรมาส 2/66 มีฐานที่สูงจากการเปิดตัวโครงการที่มีมูลค่าสูง รวมทั้งช่วงต้นไตรมาส 3/66 สภาพแวดล้อมภายนอกไม่เอื้อต่อการซื้อขายอสังหาฯ อาทิความไม่แน่นอนทางการเมือง อัตราดอกเบี้ยขาขึ้น ทำให้ลูกค้าชะลอการตัดสินใจบ้าง ขณะที่ยอดขายในปัจจุบันอยู่ที่ 33,349 ล้านบาทคิดเป็น 17% ของเป้าหมายซึ่งอยู่ที่ 47,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่ายอดขายอาจจะไม่ได้ตามเป้าเนื่องจากปัจจัยภายนอก และจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาน้อยกว่าคาด โดยยอดขายปี 66 น่าจะอยู่ที่ 4 ? 4.2 หมื่นล้านบาท