โบรกเกอร์คาดว่า บมจ.นอร์ทอีส รับเบอร์ (NER) ไตรมาส 4/66 จะเป็นไตรมาสที่ดีที่สุดของปีนี้ เพิ่มขึ้นทั้ง YoY QoQ จากปริมาณยอดขายเพิ่มขึ้น บวกราคาขายก็ขยับขึ้นด้วย ส่งผลให้มาร์จิ้นสูงขึ้น และดีต่อเนื่องในไตรมาส 1/67 อีกทั้งได้ลูกค้ายางล้อเจ้าใหญ่จากญี่ปุ่นเก็งออเดอร์ไหลเข้าไตรมาส 2/67 และยังมีแนวโน้มลูกค้ารายอื่นเพิ่มเข้ามาอีก ผู้บริหารก็มั่นใจปี 67 จะรับดีมานด์ยางล้อรถใหม่ใน EV ที่ยังคงเติบโต โดยเดินหน้าขยายกำลังการผลิตราว 3 แสนตัน จะเริ่มก่อสร้างกลางปี 67 และเริ่มผลิต 50% ในปี 68
ราคาหุ้น NER ช่วงบ่ายวันนี้อยู่ที่ 4.70 บาท เพิ่มขึ้น 0.02 บาท (+0.43%) P/E ที่ 5.96 เท่า อัตราเงินปันผลตอบแทน 8.12% จากเงินปันผลล่าสุด 0.05 บาท (ข้อมูล ณ วันที่ 24 พ.ย.66)
นายธีร์ธนัตถ์ จิราศิริวัชร ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) คาดว่า ผลประกอบการในไตรมาส 4/66 ของ NER จะเป็นไตรมาสที่ดีที่สุดของปีนี้ โดยคาดว่าจะมีกำไรสุทธิ 520 ล้านบาท เติบโตทั้ง YoY (ไตรมาส 4/65) และ QoQ (ไตรมาส 3/66) ปัจจัยหลักมาจากปริมาณขายในไตรมาส 4/66 ราว 1.3 แสนตัน เติบโต 16% QoQ แม้ลดลง 5% YoY ส่งผลให้ปริมาณการขายทั้งปี 66 คาดว่าจะอยู่ที่ราว 4.99 แสนตัน และราคาขายเฉลี่ยที่ 55 บาท/กก.เพิ่มขึ้น 10% QoQ และ +7%YoY ส่งผลให้รายได้เพิ่มขึ่น และอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin:GPM) ดีขึ้น
และคาดว่าราคาขายยางแผ่นมีแนวโน้มดีต่อเนื่องในไตรมาส 1/67 เนื่องจากผลผลิตน้ำยางขาดตลาด ทำให้ต้นทุนวัตถุดิบสูงขึ้น ราคาขายจึงสูงขึ้นตามขณะที่ดีมานด์ยังมีอยู่อีกมาก โดยเฉพาะจากจีน นอกจากนี้ ยังมีสัญญาณที่ดีที่สามารถปิดดีลกับลูกค้ายางล้อรายใหญ่รายใหม่สัญชาติญี่ปุ่น คาดว่าจะเริ่มมีออเดอร์เข้ามาในไตรมาส 2/67 เป็นต้นไป และคาดว่าจะมีลูกค้าเข้ามาเพิ่มอีกในระยะต่อไป เพราะลูกค้าก็ต้องการกระจายความเสี่ยงจากการพึ่งพาซัพพลายเอร์น้อยราย
ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้ายอดขายปี 67 ราว 5 แสนตัน เท่ากับประมาณการของเรา ขณะที่ราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่ 54-56 บาท/กก. ใกล้เคียงกับคาดการณ์ของเราที่ 54.7 บาท/กก.ตามทิศทางราคายางที่เพิ่มขึ้น แต่กำลังการผลิตเพิ่มได้อีกเพียงเล็กน้อย เนื่องจากผลิตเกือบเต็มกำลังที่มีแล้ว ทำให้บริษัทปรับเพิ่มแผนขยายกำลังการผลิตจากเดิม 1.7 แสนตัน เป็น 3 แสนตัน หรือเพิ่มขึ้น 59% จากปัจจุบัน 5.15 แสนตัน โดยใช้เงินลงทุน 1.2 พันล้านบาท จากกระแสเงินสดในบริษัททั้งหมด ทำให้ไม่มีภาระดอกเบี้ยจ่ายเพิ่มขึ้นจากการลงทุนในโรงงานใหม่ ซึ่งสร้างบนที่ดินติดกับโรงงานเดิม คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 68 จะใช้กำลังการผลิตเฟสแรกที่ 1.7 แสนตัน และผลิตเต็มกำลังการผลิตในปี 69
เนื่องจากบริษัทมีความมั่นใจต่อปริมาณความต้องการของลูกค้าจีนที่ยังมีเข้ามาต่อเนื่องทั้งเก่าและใหม่ ขณะที่อินเดียและญี่ปุ่นมีโอกาสเติบโตมากขึ้นจากคำสั่งซื้อระยะยาวหนุนกำไรปกติอาจทำระดับสูงสุดใหม่ได้อีกครั้งในปี 68-69 ตามลำดับ ซึ่งเรายังไม่รวมในประมาณการ
นายธีร์ธนัตถ์ ปรับประมาณการกำไรของ NER ปี 67 เป็น 1,755 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9% จากปีก่อนหน้า จาก GPM เพิ่มขึ้นเป็น 11.6% จาก 10.9% และผลการปรับลดดอกเบี้ยจ่ายลง 7.4% จากการจ่ายคืนหุ้นกู้อัตราดอกเบี้ยสูง ทำให้ดอกเบี้ยจ่ายลดลง และคาดรายได้ราว 2.7 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.1% YoY จึงคงคำแนะนำ "ซื้อ" ปรับราคาเป้าหมายปี 67 ขึ้นมาที่ 6.80 บาท จากเดิม 6.20 บาท และคาดเงินปันผลงวดครึ่งหลังปี 66 อีก 0.29 บาทให้ผลตอบแทนจากเงินปันผล 6.3%
ด้าน บล.กรุงศรี พัฒนสิน ระบุในบทวิเคราะห์ว่า แนวโน้มไตรมาส 4/66 กำไรสุทธิของ NER จะเติบโตตามปริมาณขายเพิ่มขึ้น โดยคาดกำไรสุทธิ 501 ล้านบาท เพิ่มขึ้น +36% YoY และ +60% QoQ หลังจากสัญญาณในไตรมาส 3/66 ค่อนข้างดีทั้งปริมาณขายและราคาขายยาง ขณะที่มีสินค้าจีนเลื่อนส่งมอบจากไตรมาส 3/66 มาที่ไตรมาส 4/66 อีกราว 300 ล้านบาท รวมทั้งผลผลิตยางที่เข้าสู่ตลาดมากขึ้น และราคาที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น
ยอดขายในไตรมาส 4/66 คาดว่าจะทำได้ 6,560 ลบ. เพิ่มขึ้น +17%QoQ เพราะปริมาณขายเพิ่มราว +7%QoQ และราคาขายยางคาดว่าจะทรงตัวถึงเพิ่มขึ้น YoY และ QoQ นอกจากนี้คาด GPM ดีขึ้น YoY QoQ มาที่ 12.95%
คงแนะนำ Trading Buy ราคาเป้าหมายปี 67 ที่ 5.30 บาท (P/E เป้าหมาย 5.8เท่า= mean -1SD สะท้อนความกังวลเศรษฐกิจจีน) เรามองว่าราคาหุ้น NER ที่ทรงตัวมาราว 1 ไตรมาสน่าจะสะท้อนความกังวลอุตสาหกรรมยางชะลอตัวจากเศรษฐกิจสหรัฐ-ยุโรป-จีนไปแล้ว
ขณะที่รายงานในไตรมาส 3/66 ออกมาสูงกว่าคาด และมีแนวโน้มดีขึ้นในไตรมาส 4/66 ที่มีการรับส่งมอบสินค้าของจีนที่เลื่อนออกมาทำให้ประมาณการปี 66 มี upside จากประมาณการเดิม อีกทั้งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจีนจะทำให้ความต้องการยางและราคายางปรับตัวเพิ่มขึ้น ส่วนเอลนีโญคาดว่าจะเกิดขึ้นในปี 66-67 ทำให้ราคายางเพิ่มขึ้น และส่งผลให้ GPM และราคาขายของ NER เพิ่มขึ้นด้วย
ส่วน บล.โกลเบล็ก มีมุมมองเป็นกลางถึงบวกต่อผลประกอบการของ NER ในไตรมาส 4/66 ถึงปี 67 โดยคาดแนวโน้มกำไรไตรมาส 4/66 โต YoY QoQ และอาจเป็นไตรมาสดีที่สุดในปี 66 จากปัจจัย 3 ประการ คือ 1) ออเดอร์ที่เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 3 ที่ถูกเลื่อนส่งมอบ และเป็นช่วง High Season 2) ราคายางฟื้นตัวขึ้นราว 6-7% QoQ และ 3) ทำให้ %GPM มีแนวโน้มเติบโตดีขึ้น เช่นกัน ทั้งนี้ Bloomberg Consensus คาดกำไรปี 66 ราว 1,597 ลบ. -9%YoY (กำไร 9M66 คิดเป็น 72% ของประมาณการ)
ผู้บริหารตั้งเป้าปริมาณขายปี 67 เท่ากับปี 66 ที่ 5 แสนตัน แต่รายได้จะเติบโตตามราคาขายฟื้นตัว 6-7% จากดีมานด์ยางล้อรถใหม่ใน EV ที่ยังคงเติบโต ประกอบกับสถานการณ์เอลนีโญช่วยหนุน และมีอัพไซต์จากลูกค้าญี่ปุ่นรายใหญ่ หลังได้รับการตรวจรับรองโรงงานแล้ว
โกลเบล็ก มองเป็นกลางถึงบวกต่อผลประกอบการไตรมาส 4/66 และปี 67 มีโอกาสเติบโตจากราคาขายที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม U.rate ปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 97% ทำให้มีโอกาสเติบโตจากปริมาณขายได้ไม่มาก ทั้งนี้ โรงงานแห่งใหม่จะช่วยเพิ่มกำลังผลิตราว 3 แสนตัน จะเริ่มก่อสร้างกลางปี 67 และเริ่มผลิต 50% ในปี 68 จะมาช่วยรองรับการเติบโตในอนาคต
ปัจจุบันราคาหุ้นปรับลง 26%YTD มี PE ที่ 5.85x ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มที่ 10x สะท้อนผล ประกอบการที่อ่อนแอไปแล้ว โดยราคาเหมาะสม Bloomberg Consensus 5.82 บาท Upside 25% แนะนำ "ซื้อ"
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย(บาท/หุ้น) หยวนต้า ซื้อ 6.80 พาย ซื้อ 5.87 โกลเบล็ก ซื้อ 5.82 ฟิลลิป ซื้อ 5.66 กรุงศรี พัฒนสิน ซื้อเก็งกำไร 5.30
https://youtu.be/u6I0W0ByuWQ