นายสมเกียรติ ศิลวัฒนาวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.สโตนเฮ้นจ์ อินเตอร์ (STI) เปิดเผยว่า บริษัทมีมติอนุมัติเปลี่ยนแปลงรอบระยะเวลาบัญชีจากเดิมเริ่มต้นในวันที่ 1 มกราคม และสิ้นสุดในวันที่ 31 ธันวาคมของทุกปี เป็นเริ่มต้นในวันที่ 1 ตุลาคม และสิ้นสุดในวันที่ 30 กันยายนของทุกปี โดยเริ่มเปลี่ยนรอบบัญชีในปี 2566 ดังนั้นงบการเงินสำหรับรอบบัญชีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2566 จึงจัดทำขึ้นสำหรับรอบระยะเวลาเก้าเดือนเท่านั้น
สำหรับผลการดำเนินงานของปี 66 (9 เดือน) โดยงบเสมือนที่จัดทำขึ้นสำหรับรอบระยะเวลา 12 เดือน (1 ต.ค.65-30 ก.ย.66) บริษัทมีรายได้จากการให้บริการ 1,746.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.9 ล้านบาท คิดเป็น 0.6% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน (1 ม.ค.65-31 ธ.ค.65) ปัจจัยมาจาก รายได้ของธุรกิจบริหารและควบคุมงานก่อสร้างลดลง 2.1% ซึ่งเป็นผลกระทบมาจากโครงการภาครัฐขนาดใหญ่หลายโครงการยังไม่สามารถเดินหน้าพัฒนาได้ตามแผน แต่เริ่มเห็นสัญญาณกลับมาฟื้นตัวในช่วงโค้งสุดท้ายของปี
ในทางกลับกันรายได้จากธุรกิจออกแบบสถาปัตยกรรมและวิศวกรรมและธุรกิจอื่นมีจำนวนเพิ่มขึ้น 39.9 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 12.4% สาเหตุหลักเนื่องมาจากงานบริการส่วนนี้สามารถดำเนินการเพื่อส่งมอบได้มากขึ้นภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดที่มีแนวโน้มลดลง โดยเฉพาะในส่วนของ บริษัท เอเชี่ยน เอ็นจิเนียริ่ง คอนซัลแต้นส์ จำกัด (AEC) (บริษัทในกลุ่ม)
ทั้งนี้ บริษัทฯ มีกำไรขั้นต้น จำนวน 514.4 ล้านบาท ลดลง 4.5% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ส่งผลให้มีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 29.4% และมีกำไรสุทธิ จำนวน 133.4 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 7.6%
อย่างไรก็ตาม โครงการหลักๆในปัจจุบันของกลุ่ม STI ยังคงมีการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง อาทิ โครงการ One Bangkok โครงการรถไฟฟ้ารางคู่สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ โครงการรถไฟรางคู่สายบ้านไผ่-มหาสารคาม-ร้อยเอ็ด-มุกดาหาร-นครพนม โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ เตาปูน-ราษฎร์บูรณะโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังระยะที่ 3 เป็นต้น
กลุ่ม STI ยังได้กระจายในทุกกลุ่มธุรกิจที่หลากหลาย โดยไฮไลท์ที่โดดเด่นในปีนี้อยู่ที่กลุ่มงานโรงพยาบาล ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ถือเป็นผู้นำในด้านการควบคุมงานโรงพยาบาลที่มีผลงานมากที่สุดในปัจจุบัน ซึ่งจะต้องใช้ความเชี่ยวชาญขั้นสูงของวิศวกรเฉพาะทาง ที่จะต้องเข้าใจเครื่องมือเทคโนโลยีทางการแพทย์ รวมถึงการนำนวัตกรรมต่าง ๆ มาใช้ในการทำงานเพื่อให้สะดวกและแม่นยำของงาน อีกทั้งปัจจุบัน ทุกภาคส่วนต่างให้ความสำคัญกับงานโครงการที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม ตามมาตรฐานอาคารสีเขียว (GREEN BUILDING) ซึ่งเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์สู่ความยั่งยืน โดยวิศวกรของ STI พร้อมทำงานด้วยความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง มีความเข้าใจกฎระเบียบต่าง ๆ เพื่อส่งมอบอาคารที่มีคุณสมบัติสอดคล้องตามมาตรฐานสากล
"STI เรามั่นใจว่ายังมีโอกาสเติบโตต่อเนื่องในปีหน้า จากงานของภาครัฐที่เริ่มฟื้นตัวหลังจัดตั้งรัฐบาลใหม่แล้วเสร็จ งบประมาณเริ่มมีการเคลื่อนไหว อีกทั้ง STI เรายังนำนวัตกรรมต่างๆ มาใช้สำหรับการควบคุมงานก่อสร้าง พร้อมเดินหน้าลุยงานทั้งภาครัฐและเอกชน สะท้อนจากงานในมือที่เราได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าอย่างต่อเนื่อง"