บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (GULF) ยังคงโดดเด่นในฐานะตัวเลือกที่ดีที่สุดในกลุ่มโรงไฟฟ้า จากกำลังการผลิตใหม่ที่จะเข้ามาเพิ่มขึ้นถึง 2,490 MW ในปี 67 ทั้งหมดอยู่ในประเทศไทย เป็น IPP และ Renewable ทำให้รายได้มั่นคงสูงและไม่ได้รับผลกระทบจากความผันผวนของค่าไฟฟ้า ทำให้บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้ในปีหน้าจะเติบโตราว 30% จากปีนี้
อีกทั้งยังมีปัจจัยบวกจากการปรับขึ้นค่าไฟฟ้า (หากขึ้นได้จริง) ก็น่าจะส่งผลดีต่อกำไรสุทธิเติบโตขึ้น เมื่อเทียบกับปี 66
ขณะเดียวกันธุรกิจอื่น อย่างธุรกิจ LNG มีแผนเริ่มนำเข้ามาในเดือน มี.ค.67 เป็นครั้งแรก รวมถึงยังเตรียมเปิดให้บริการแพลตฟอร์ม Gulf Binance ในช่วงต้นปี 67 ด้วยคาดว่าจะส่งผลดีต่อ GULF อย่างมีนัยสำคัญ
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า กล่าวว่า จากกรณีที่คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) มีมติปรับขึ้นค่าไฟฟ้าเป็น 4.68 บาท มีผลช่วงเดือน ม.ค.-เม.ย.67 หากมีการปรับขึ้นจริง คาดจะเป็นบวกต่อ GULF ซึ่งจะหนุนให้กำไรสุทธิปี 67 เติบโตดีกว่าคาดการณ์ที่ 17,292 ล้านบาท จากปี 66 คาดทำได้ 14,688 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ค่าไฟฟ้ายังมีโอกาสที่จะถูกภาครัฐแทรกแซง แต่ถึงจะตัดประเด็นดังกล่าวออกไป GULF ยังคงจะเติบโต YoY
นอกจากนี้ ในปีหน้า GULF จะได้ปัจจัยบวกจากแนวโน้มราคาก๊าซน่าจะทรงตัว คาดเฉลี่ยที่ 350-360 บาทต่อล้านบีทียู (MMBTU) ปรับตัวลงจากปี 66 เฉลี่ยราว 380-400 บาทต่อล้านบีทียู ส่งผลดีต่อต้นทุนต่ำลง ราคาขายไฟดีขึ้น
ประเด็นสำคัญ คือ กำลังการผลิตใหม่จะเข้ามาเพิ่มอีกราว 2,490 เมกะวัตต์ (MW) ประกอบด้วย โรงไฟฟ้า GPD หน่วยที่ 3-4 กำลังการผลิตรวม 1,325 MW คาดว่าจะ COD หน่วยที่ 3 ได้ในเดือน มี.ค.67 และ COD หน่วยที่ 4 ในเดือน ต.ค.67, โรงไฟฟ้า HKP (IPP) กำลังการผลิต 770 MW มีกำหนด COD วันที่ 1 มี.ค.67, โครงการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป GULF1 กำลังการผลิตกว่า 100 MW, โรงไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์มในประเทศ กำลังการผลิตราว 160 MW คาด COD ไตรมาส 4/67 และโรงไฟฟ้าโซลาร์+แบตเตอรี่ กำลังการผลิตราว 135 MW คาด COD ไตรมาส 4/67
GULF วางงบลงทุน 5 ปี (ปี 67-71) ราว 9 หมื่นล้านบาท โดย 80% ใช้ในโครงการพลังงานหมุนเวียน, 15% ใช้ในโครงการโรงไฟฟ้า conventional และ ธุรกิจ LNG, 2% ธุรกิจ Digital Investment และ 3% ในธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน
สำหรับกำไรปกติไตรมาส 4/66 คาดจะทำระดับสูงสุดใหม่รายไตรมาสได้ต่อเนื่อง จากปัจจัยฤดูกาลของโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ Jackson ในสหรัฐฯ และโครงการลมในประเทศ รวมถึงการรับรู้รายได้จากการ COD โรงไฟฟ้า GPD หน่วยที่ 2 ขนาด 662.5 เมกะวัตต์ (MW)(COD เมื่อวันที่ 1 ต.ค.66)
ปัจจุบัน GULF ได้มีการลงนามในสัญญา PPA สำหรับโครงการแสงอาทิตย์และโครงการแสงอาทิตย์ที่มีการติดตั้งร่วมกับระบบกักเก็บพลังงานไปแล้วทั้งสิ้น 12 โครงการ กำลังผลิตรวม 649 MW (ถือหุ้น 100%) และคาดว่าจะสามารถลงนามในสัญญา PPA เพิ่มเติมได้อีกราว 13 โครงการ กำลังผลิตรวม 700 MW ภายในปีนี้ นอกจากนี้ยังมีโอกาสที่บริษัทฯ จะเข้าไปร่วมลงทุนกับผู้ประกอบการรายอื่นเพิ่มเติมในส่วนของการชะลอการลงนามในสัญญา PPA ของโครงการลมที่ได้รับคัดเลือกเพื่อรอคำตัดสินจากศาล บริษัทฯ คาดจะมีความชัดเจนมากขึ้นภายในไตรมาส 1/67
ส่วนการลงทุนในโรงไฟฟ้าขยะอุตสาหกรรมปัจจุบันบริษัทฯ ได้มีการเข้าลงทุนในโรงไฟฟ้าขยะอุตสาหกรรม 2 โครงการ (ถือหุ้น 51%) ขนาดรวมราว 8 MWe จากการประเมินเบื้องต้นคาดสร้างกำไรให้กับบริษัทฯ ได้ราว 100 ล้านบาท/ปี รวมถึงอยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อเข้าลงทุนในโครงการที่ได้รับคัดเลือกอื่นเพิ่มเติม (คาดมีความชัดเจนภายในปี 67)
ด้านธุรกิจนำเข้า LNG บริษัทมีแผนเริ่มนำเข้าในเดือน มี.ค.67 เป็นครั้งแรก เพื่อนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงให้กับโรงไฟฟ้า IPP หินกองที่มีกำหนด COD ช่วงปลายเดือน มี.ค.67 นอกจากนี้ บริษัทยังอยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อเพิ่มปริมาณการนำเข้าเป็นราว 5 แสนตัน/ปี (ปัจจุบันมีสัญญาการนำเข้า 5 แสนตัน/ปี
นอกจากนั้น เมื่อวันที่ 10 พ.ย.66 Gulf Binance (ถือหุ้นทางอ้อม 51%) ได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) ให้สามารถเริ่มประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลได้ โดยแพลตฟอร์มของ Gulf Binance จะเปิดให้บริการศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล และนายหน้าสินทรัพย์ดิจิทัล โดยในช่วงแรกจะเปิดให้ผู้ใช้งานที่ได้รับเชิญเท่านั้น และจะเปิดเป็นการทั่วไปภายในช่วงไตรมาส 1/67 (คาดยังไม่สร้างผลกำไรที่มีนัยสำคัญให้กับบริษัทฯ ในระยะสั้น
ด้านราคาหุ้นปัจจุบันปรับตัวขึ้นมาพอสมควร ทำให้อัพไซด์เริ่มจำกัด โดยคงคำแนะนำ TRADING
บล.แลนด์ แอนด์ เฮาส์ ระบุในบทวิเคราะห์ว่า มอง GULF มีภาพการเติบโตที่ชัดเจนที่สุดในหุ้นโรงไฟฟ้า จากโครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง/พัฒนา ยาวไปจนถึงปี 76 ธุรกิจโรงไฟฟ้า นอกจาก IPP แล้ว ในช่วงหลัง GULF ได้เพิ่มพอร์ต Renewable ในไทยเพิ่มขึ้น
GULF ได้ลงนาม PPA โครงการ Solar 12 โครงการรวม 649 MW คาด COD ปี 67-69 และขยะอุตสาหกรรม 2 โครงการ รวม 16 MW และกำลังจะลงนาม PPA อีก 13 โครงการ รวม 704 MW ภายในสิ้นปีนี้ เมื่อรวมกับโครงการ Wind แล้ว GULF ได้รับคัดเลือกโครงการ Renewable มากถึง 1,700 MW (จากทั้งหมด 5,200 MW) ด้วยขนาดที่ใหญ่ ทำให้มีอำนาจต่อรองสูง ช่วยลดเงินลงทุน/MW ลงได้มาก ช่วยให้ EIRR อยู่ระดับดี 15% แม้ว่าค่าไฟฟ้าจะไม่สูงนักและคงที่ตลอดสัญญา
GULF มองว่า ภาครัฐจะเปิดคัดเลือกโครงการ Renewable เพิ่มอีก ด้วยสอดคล้องกับเทรนด์ของโลก ไทยมีศักยภาพสูงในการพัฒนา Solar และ Wind นอกจากนั้น ก็คาดว่าจะมีการเปิดประมูลโครงการ IPP ใหม่ เพื่อทดแทนโรงไฟฟ้า EGAT และ IPP ที่ทยอยหมดอายุ เนื่องจาก EGAT มีฐานะการเงินตึงตัว ทำให้ศักยภาพการลงทุนใหม่ลดลง (เมื่อเทียบกับอดีต) ซึ่งจะเป็นโอกาสสำคัญสำหรับ GULF ในอนาคต
GULF ยังมีแผนขยายธุรกิจ Gas, Infrastructure, และ Digital อีกด้วย สำหรับธุรกิจ Digital นอกจากการลงทุนใน INTUCH และ THCOM แล้ว GULF ยังมี 2 โครงการสำคัญคือ 1. Gulf Binance ซึ่งได้รับใบอนุญาตสำหรับ Exchange และ Brokerage เรียบร้อยแล้ว จะเริ่มเปิดให้บริการต้นปีหน้า และ 2. Data Center ซึ่งร่วมทุนกับ Singtel อยู่ระหว่างพัฒนาขนาด 20 MW ด้วยเงินลงทุน 1 หมื่นล้านบาท GULF มองว่าธุรกิจนี้มีศักยภาพสูงมาก เนื่องจากปัจจุบัน รัฐบาลสิงคโปร์ไม่ให้ขยาย Data Center เพิ่มเติมแล้ว ด้วยต้องใช้ไฟฟ้าจำนวนมาก ทำให้คาดว่าจะสามารถขยายฐานลูกค้ารายสำคัญระดับโลกมาได้ รวมถึงเป็นธุรกิจที่ให้ผลตอบแทนดี (คาดกำไร 20-25 ล้านบาท/MW ต่อปีหรือ ROA ราว 5%) โดยมีแผนขยายเพิ่มเป็น 40 MW ในอนาคต
GULF ตั้งเป้าหมายรายได้เติบโต +30%YoY ในปีหน้า หนุนโดย COD โรงไฟฟ้าใหม่รวม 2,490 MW จาก 12,440 MW เพิ่มเป็น 14,930 MW ได้แก่ 1. GPD หน่วยที่ 3-4 รวม 1,325 MW 2. หินกอง หน่วยที่ 1 770 MW 3. Solar Roof (GULF1) รวม 100 MW 4. Solar ในไทยรวม 160 MW และ 5. Solar+Battery ในไทยรวม 135 MW ทั้งนี้โครงการทั้งหมดอยู่ในไทย เป็น IPP และ Renewable ทำให้รายได้มั่นคงสูงและไม่ได้รับผลกระทบจากความผันผวนของค่าไฟฟ้า
แนะนำ "ซื้อ" โดยกำไรที่เติบโตและโอกาสขยายธุรกิจเพิ่มเติมโดยเฉพาะการประมูล IPP จะเป็นประเด็นบวกต่อราคาหุ้นต่อเนื่อง
ราคาหุ้น GULF ปิดเที่ยงวันนี้ที่ 45.75 บาท เพิ่มขึ้น 0.25 บาท (+0.55%) ขณะที่ SET +0.60%
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย(บาท/หุ้น) หยวนต้า ซื้อ 47.50 แลนด์ แอนด์ เฮาส์ ซื้อ 60.00 ฟิลลิป ซื้อ 58.00 บัวหลวง ซื้อ 68.00 กรุงศรี ซื้อ 50.00 ฟินันเซีย ไซรัส ซื้อ 54.00