นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) ผลสำรวจในเดือน พ.ย.66 พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index: ICI) ในอีก 3 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ระดับ 98.60 ปรับขึ้น 23.8% จากเดือนก่อนหน้าลงมาอยู่ในเกณฑ์ "ทรงตัว"
นักลงทุนมองว่าการไหลเข้าของเงินทุน เป็นปัจจัยหนุนความเชื่อมั่นมากที่สุด รองลงมาคือนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)ในการหยุดขึ้นอัตราดอกเบี้ย และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ขณะที่ปัจจัยที่ฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุนมากที่สุด ได้แก่ การถดถอยของเศรษฐกิจในประเทศ รองลงมาคือสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศ และสถานการณ์เศรษฐกิจจีน
ผลสำรวจโดยสรุป ดังนี้
ดัชนีความเชื่อมั่นรวมทุกกลุ่มนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้า (กุมภาพันธ์ 2567) อยู่ในเกณฑ์ "ทรงตัว" (ช่วงค่าดัชนี 80-119) ปรับขึ้น 23.8% จากเดือนก่อนหน้า มาอยู่ที่ระดับ 98.60
ความเชื่อมั่นกลุ่มนักลงทุนบุคคล กลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ และกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศอยู่ในเกณฑ์ "ทรงตัว" ในขณะที่กลุ่มนักลงทุนสถาบันอยู่ในเกณฑ์ "ร้อนแรง"
หมวดธุรกิจที่น่าสนใจมากที่สุด คือ หมวดพลังงานและสาธารณูปโภค (ENERG)
หมวดธุรกิจที่ไม่น่าสนใจมากที่สุด คือ หมวดเงินทุนและหลักทรัพย์ (FIN)
ปัจจัยหนุนที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ การไหลเข้าของเงินทุน
ปัจจัยฉุดที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ การถดถอยของเศรษฐกิจในประเทศ
ผลสำรวจ รายกลุ่มนักลงทุน พบว่า ความเชื่อมั่นนักลงทุนทุกกลุ่มปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า โดยกลุ่มนักลงทุนบุคคลปรับเพิ่ม 41.0% อยู่ที่ระดับ 92.50 กลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ปรับเพิ่ม 16.9% อยู่ที่ระดับ 85.71 กลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศปรับเพิ่ม 35.7% อยู่ที่ระดับ 135.71 และกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศปรับเพิ่ม 20.0% อยู่ที่ระดับ 100.00
นายกอบศักดิ์ กล่าวว่า SET Index มีความผันผวนตลอดทั้งเดือน พ.ย.66 จากความกังวลต่อสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาสที่ยังไม่คลี่คลาย ความไม่แน่นอนของธนาคารกลางสหรัฐในการคงหรือขึ้นดอกเบี้ย อีกทั้งความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจจีนโดยเฉพาะภาคอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงการประกาศตัวเลข GDP ของไทยในไตรมาส 3/66 ออกมาต่ำกว่าคาดโดยขยายตัวเพียง 1.5% ลดลงจากไตรมาสก่อนหน้าซึ่งขยายตัวอยู่ที่ 1.8% ส่งผลให้ SET Index ณ สิ้นเดือน พ.ย.66 ปิดที่ 1,380.18 ปรับตัวลดลง 0.1% จากเดือนก่อนหน้า ปริมาณซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 45,804 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติยังคงขายสุทธิต่อเนื่องกว่า 21,132 ล้านบาท โดยตั้งแต่ต้นปี 66 นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิรวมกว่า 192,153 ล้านบาท
ปัจจัยต่างประเทศที่ต้องติดตาม ได้แก่ ความผันผวนในตลาดการเงินโลกที่อาจส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น น้ำมัน และทอง สถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาส การเร่งใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลจีน และอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลต่างประเทศที่ปรับตัวลง ซึ่งอาจส่งผลเชิงบวกต่อเงินทุนที่จะไหลเข้ามายังกลุ่มตลาด emerging market
ส่วนของปัจจัยในประเทศที่น่าติดตาม ได้แก่ ปัจจัยหนุนตลาดทุนจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการจัดตั้งกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (ThaiESG) ที่คาดว่าจะสร้างเม็ดเงินให้ไหลเข้ามาในตลาดหุ้นไทยได้กว่าหมื่นล้านบาทภายในช่วงเดือนธันวาคม 2566 การเร่งอนุมัติร่างงบประมาณปี 2567 เพื่อให้รัฐบาลมีเม็ดเงินมาอัดฉีดเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้ดียิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม ยังมีความไม่แน่นอนของมาตรการแจกเงินดิจิทัลของรัฐบาล และสถานการณ์ภาคการท่องเที่ยวในช่วง High season โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวจีนที่มีแนวโน้มต่ำกว่าคาดการณ์ไว้