นายชาญชัย พันทาธนากิจ ผู้อำนวยการสายงานวิจัย บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้คาดดัชนีแกว่งไซด์เวย์ถึงไซด์เวย์อัพ ปัจจัยสนับสนุนจากราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นเกือบ 2% หลังบริษัท บีพี (BP) ผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่สัญชาติอังกฤษ ประกาศระงับการขนส่งน้ำมันผ่านทะเลแดง ซึ่งมีความเสี่ยงจากการโจมตีของกลุ่มกบฏฮูตี ส่งผลบวกให้กับกลุ่มพลังงานต้นน้ำอาทิ PTTEP TOP และ BCP ได้
ขณะที่ปัจจัยในประเทศ เมื่อวานมีการประกาศผลการคัดเลือกหลักทรัพย์ที่ใช้สำหรับคำนวณดัชนี SET50 และ SET100 โดย DELTA INTOUCH TLI ซึ่งเป็นหุ้นที่ก่อนหน้านี้ถูกคาดว่ามีความเสี่ยงหลุดจากการคำนวณ ส่งผลต่อราคาหุ้น ดังนั้นเมื่อมีความชัดเจนว่าไม่ได้หลุดจากการคำนวณ ทำให้ราคาหุ้นกลุ่มดังกล่าวมีโอกาสดีดขึ้นมาได้ โดยเฉพาะ DELTA ที่หากฟื้นขึ้นมาทุกๆ 1% หนุนดัชนีตลาดหุ้นไทยประมาณ 0.9 จุดได้ ก็จะเป็นภาพที่ช่วยประคองตลาดได้
นอกจากนี้นักลงทุนรอติดตามการประกาศผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) และการประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่งติดตามความคืบหน้าประเด็นค่าไฟ ค่าแรงขั้นต่ำ
โดยให้กรอบดัชนีแนวรับ 1,385 จุด และแนวต้าน 1,400 จุด
*ประเด็นพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์ก (18 ธ.ค.66) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 37,306.02 จุด เพิ่มขึ้น 0.86 จุด หรือ +0.002%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,740.56 จุด เพิ่มขึ้น 21.37 จุด หรือ +0.45% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 14,904.81 จุด เพิ่มขึ้น 90.89 จุด, +0.61%
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวเปิดภาคเช้าที่ระดับ 32,774.21 จุด เพิ่มขึ้น 15.23 จุด หรือ +0.05% แต่หลังเปิดตลาด 15 นาที ดัชนีนิกเกอิลดลง 69.06 จุด หรือ -0.21% สู่ระดับ 32,689.92 ขณะที่ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดภาคเช้าที่ระดับ 16,551.44 จุด ลดลง 77.79 จุด หรือ -0.47% และดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนเปิดภาคเช้าที่ระดับ 2,928.76 จุด ลดลง 2.04 จุด หรือ -0.07%
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (18 ธ.ค.66) ที่ 1,393.41 จุด เพิ่มขึ้น 2.38 จุด (+0.17%) มูลค่าซื้อขาย 30,983.57 ล้านบาท
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 638.25 ล้านบาท (18 ธ.ค.66)
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนม.ค.(18 ธ.ค.)เพิ่มขึ้น 1.04 ดอลลาร์ หรือ 1.5% ปิดที่ 72.47 ดอลลาร์/บาร์เรล
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (18 ธ.ค.66) อยู่ที่ 8.51 เหรียญ/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 34.97 ทรงตัวจากวานนี้ ตลาดจับตาผลประชุม BOJ
- "เศรษฐา" โรดโชว์แลนด์บริดจ์กล่อม 30 นักลงทุน ลงทุนเชื่อม 2 มหาสมุทร แจงได้เปรียบต้นทุน ขนส่งลดเฉลี่ย 15% ลดเวลาขนส่งเฉลี่ย 4 วัน เล็งเปิดโครงการ ให้เป็นจุดรับส่งน้ำมันภูมิภาคลดต้นทุนการขนส่งลง 6% หวังส่วนแบ่งเรือจากช่องแคบมะละกา 23% จ้างงาน 2.8 แสนตำแหน่ง ดันจีดีพีไทยโต 5.5% พร้อมดึงแบงก์ญี่ปุ่น แหล่งทุน โรดโชว์สายเดินเรือญี่ปุ่นดันแลนด์บริดจ์
- สถาบันการเงิน เดินหน้าอุ้มลูกหนี้บัตรเครดิต พร้อมส่งมาตรการช่วย หลัง ธปท.ปรับเกณฑ์จ่ายขั้นต่ำบัตรเครดิตจาก 5% เป็น 8% ปีหน้า แบงก์ทหารไทยธนชาต (TTB)-แบงก์ยูโอบี (UOB) ยันไม่กระทบ ด้าน SAM ส่งดอกเบี้ยต่ำ 3-5% ช่วยปรับโครงสร้างหนี้
- "กิตติรัตน์" ผนึกตลาดหลักทรัพย์ ค้นหาความจริงหุ้น SABUY หาย ชี้พร้อมสร้างความเชื่อมั่นตลาดทุนมากขึ้น ย้ำตลท.ควรทบทวนสิ่งที่ดำเนินการอยู่ เน้นปฏิบัติมากกว่า ขณะที่ "เสี่ยป๋อง" แนะทำความเข้าใจโบรกที่ต่างชาติขาย แนะตรวจสอบวิธีต่างชาติสั่งขายหุ้น ด้าน SABUY พอใจช่วยดูแล ขณะที่ SET50 KCE เข้า DELTA อยู่รอด
- "ครม." ส่งหนังสือถึงทุกส่วนราชการ "โยกรายได้-เงินนอกงบประมาณ" ฝากแบงก์รัฐสร้างสภาพคล่อง หลังใช้เงินอุดหนุนมาตรา 28 จำนวนมาก "จุลพันธ์" แย้มเตรียมมาตรการมอบของขวัญปีใหม่ให้ประชาชน ขณะที่ "ธ.ก.ส.- ออมสิน" ชี้สภาพคล่องยังอยู่ในเกณฑ์ดี ลุ้นแบงก์ชาติอนุมัติ ธ.ก.ส. ปล่อยสินเชื่อ เกษตรกรรายใหญ่วงเงินเกิน 100 ล้านบาท
- คาดครม.จะมีการพิจารณาอนุมัติมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า ระยะที่ 2 หรืออีวี 3.5 ในช่วงระยะเวลา 4 ปี (2567-70) ตามที่คณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ดอีวี) เห็นชอบเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายนที่ผ่านมา เพื่อบังคับใช้วันที่ 1 มกราคม 2567 หลังมีการปรับรายละเอียดเพื่อดึงดูดค่ายรถยนต์ไฟฟ้าให้เข้ามาลงทุนในไทยมากที่สุด โดยเฉพาะค่ายเทสลา ที่ตั้งคำถามต่อมาตรฐานของไทย ทั้งศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ (แอททริค) รถยนต์ไฟฟ้าต้องเข้าทดสอบแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าสำเร็จรูปที่นำเข้าและผลิตในประเทศไทย ทำให้รัฐบาลมีการปรับรายละเอียด เพราะการตัดสินใจลงทุนของเทสลาจะถือเป็นผลงานครั้งสำคัญของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เบื้องต้นต้องติดตามว่าเงื่อนไขที่ผ่าน ครม.จะเป็นอย่างไร แต่มองว่าเทสลาควรปฏิบัติตามมาตรฐานไทยเพราะบังคับใช้กับทุกค่ายรถยนต์
*หุ้นเด่นวันนี้
- INTUCH (ลิเบอเรเตอร์) ราคาเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 80 บาท คาดกำไร ไตรมาส 4/66 จะเติบโตทั้ง q-q, y-y แรงหนุนจากการแข่งขันของตลาดมือถือลดลง หลังตลาดเหลือผู้เล่นเพียง 2 ราย ผสานการเข้าสู่ช่วง High Season ของธุรกิจ
- DELTA (กสิกรไทย) ราคาพื้นฐาน 87 บาท คาดได้ sentiment บวกจากการที่ยังคงอยู่ในการคำนวณดัชนี SET50 รอบ 1H24 ผสานกับดัชนี Nasdaq ปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่อีก +0.62% DoD
- BEM (คิงส์ฟอร์ด) "ซื้อ" ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 10.70 บาท การดำเนินงานปกติ งวด 9 เดือนปี 66 เห็นการฟื้นตัวได้ต่อเนื่องตาม Traffic การเดินทางที่สูงขึ้นหลัง Covid-19 คลี่คลายและจากจำนวนเส้นทางให้บริการที่เพิ่มขึ้น ส่วนช่วงถัดไปไตรมาส 4/66 เห็นแนวโน้มที่ดีจาก ช่วงเดือน พ.ย. 66 ที่ผ่านมา ปริมาณจราจรของBEM อยู่ที่ 1,138.99 พันเที่ยวต่อวัน(+4%YoY, +1%MoM/ คิดเป็น 91% ของของสถิติPreCovid-19 พ.ย.62 ) และ จำนวนผู้โดยสารรถไฟฟ้า MRT ที่ 431.00 พันเที่ยวต่อวัน(+22%YoY, +4%MoM/ คิดเป็น 104% ของ พ.ย.62 ) นอกจากนี้ BEM ยังมีประเด็นบวกจากได้SET ESG Ratings AA เข้าข่ายการลงทุนกองทุน TESG ทั้งนี้ตลาดคาด กำไรสุทธิ ปี66 และ ปี67 ของ BEM จะอยู่ที่ 3,448 ลบ.( +42%YoY) และ 4,129 ลบ.(+20%YoY) ตามลำดับ