รถไฟฟ้าบีทีเอส และ แรบบิท ประกาศเปิดบริการรับชำระเงินค่าโดยสารรถไฟฟ้าบีทีเอสผ่านแอปพลิเคชัน WeChat Pay" ให้กับนักท่องเที่ยวจีน โดยผ่านระบบการชำระเงิน Rabbit Gateway ซึ่งเป็นระบบรับชำระเงินด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ (E - Payment) เพื่อรองรับการชำระเงินของลูกค้า WeChat Pay อย่างเป็นทางการ หลังจากเปิดทดลองใช้งานมาตั้งแต่เดือน ต.ค. 66
นักท่องเที่ยวจีน สามารถใช้แอปพลิเคชัน WeChat Pay ชำระค่าตั๋วโดยสารได้ที่เครื่องจำหน่ายตั๋วโดยสารอัตโนมัติ ประเภทเดินทางเที่ยวเดียว บนสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสสายสีเขียว และสายสีทองทุกสถานี ซึ่งจะเพิ่มความสะดวกสบายในด้านการบริการ และยกระดับประสบการณ์ท่องเที่ยวในประเทศไทย
นายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ.ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ (BTSC) กล่าวว่า จากที่ได้เปิดทดลองให้บริการรับชำระเงินค่าโดยสารรถไฟฟ้าบีทีเอสผ่านแอปพลิเคชั่น WeChat Pay ใน 2 เส้นทางที่มีนักท่องเที่ยวจีนใช้บริการจำนวนมากแล้ว ถัดไปจะเปิดให้บริการในเส้นทางสายสีเหลืองและสายสีชมพูช่วงต้นปี 67 ซึ่งช่วงเปิดทดลองบริการ มีจำนวนการใช้บริการรับชำระเงินผ่าน WeChat Pay ประมาณ 3,000-4,000 Transaction ต่อวัน แม้ว่าจะไม่ได้มีผลต่อจำนวนผู้โดยสารมากนัก แต่ก็ช่วยอำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยวและดึงดูดให้เข้ามาในประเทศมากขึ้น
สำหรับตัวเลขผู้ใช้บริการรถไฟฟ้า BTS ในปัจจุบันขึ้นมาใกล้กับช่วงก่อนเกิดโควิด-19 แล้ว ทำให้ผลประกอบการมีแนวโน้มเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ต่อเนื่องหลังจากฟื้นตัวจากสถานการณ์โควิด-19 โดยรายได้ในไตรมาส 3/66 งบการเงินงวดปี 66 คาดว่าเติบโตทั้ง QoQ และ YoY จากจำนวนผู้โดยสารที่กลับมาใช้บริการเพิ่มขึ้น รวมทั้งนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล
นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยว กล่าวว่า ความร่วมมือระหว่างบีทีเอส, แรบบิท และWeChat Pay จะเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีด้านการเดินทางของไทยต่อนักท่องเที่ยวจีน ทั้งเรื่องความทันสมัย และความสะดวกในการใช้งาน
ทั้งนี้ ททท.ตั้งเป้าหมายในปี 67 จะดึงนักท่องเที่ยวจีนเข้ามายังประเทศไทย 8.5 ล้านคน สร้างรายได้เข้าประเทศมากกว่า 4 แสนล้านบาท จากนโยบายฟรีวีซ่า ซึ่งขณะนี้ยอดจองเที่ยวบินช่วงไฮซีซันของนักท่องเที่ยวจีน ช่วงปลายเดือน ม.ค.-ต้น ก.พ.67 มีจำนวนมากขึ้น และเป็นแนวโน้มที่ดีสำหรับประเทศไทย
"ในส่วนของการตั้งเป้านักท่องเที่ยวในปี 67 ทั้งหมด 35 ล้านคน แน่นอนเราทิ้งตลาดจีนไม่ได้ เนื่องจากตลาดจีนยังเป็นตลาดที่สำคัญ ในส่วนของตลาดจีนเองเราก็ดำเนินการเต็มที่ เป็นอันดับสองรองจากมาเลเซีย แต่ถือว่านักท่องเที่ยวจีนตอนนี้เข้ามาเกิน 10,000 คนแล้วในแต่ละวัน"
สำหรับเป้าหมายรายได้รวมจากภาคการท่องเที่ยวปี 67 รัฐบาลได้ตั้งเป้าไว้ที่ 3.5 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากตลาดต่างประเทศ 2.5 ล้านล้านบาท และในประเทศ 1 ล้านล้านบาท โดยจะใช้แผนกระตุ้นตลาดท่องเที่ยวต่างประเทศ 5 ทิศทางหลักในการขับเคลื่อน ได้แก่ 1.เสริมภาพลักษณ์ 2.รุกเปิดตลาดคุณภาพใหม่ 3.แสวงหาคู่ค้ารายใหม่ และขยายความร่วมมือกับคู่ค้ารายใหญ่ในเวทีโลก 4.ขยายการเดินทางเชื่อมโยงทางบกเข้าถึงไทย และ 5.ใช้ดิจิทัลคอนเทนต์เสริมพลังทางการตลาด เพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายนักท่องเที่ยวใหม่
และอีกหนึ่งมาตรการที่ถือว่าเป็นกลยุทธ์ทั้งทางตรงและทางอ้อมคือการอำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยวจีน ผ่านการให้บริการชำระเงิน WeChat Pay ตอบโจทย์พฤติกรรมการใช้จ่ายเงินผ่านระบบดิจิทัลของคนจีน ซึ่งในการในจ่ายเงินผ่านแอปพลิเคชั่นดังกล่าจะมีการนำเอาข้อมูลมาวางแผนการตลาดเพื่อตอบสนองต่อพฤติกรรม และความต้องการของนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งในปี 67 จะได้เห็นผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่เกี่ยวของการการให้บริการ และสินค้าที่มีคุณภาพมากขึ้น ดังนั้นเป้าหมายตัวเลขนักท่องเที่ยวในปี 67 มีความเป็นไปได้มากที่จะใกล้เคียงกับปี 62 หรือช่วงก่อนเกิดโควิด-19