นายคมศร ประกอบผล หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ เปิดเผยว่า ในช่วงต้นปี 67 ตลาดหุ้นสหรัฐฯ อาจปรับฐาน เพราะอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ (Bond yield) อายุ 10 ปี อาจปรับขึ้นสู่ระดับระดับ 4-4.2% ในระยะสั้นจากปัจจุบันที่อยู่ในระดับ 3.9% ประกอบกับหุ้นสหรัฐฯ ในปัจจุบันซื้อขายอยู่ในมูลค่า (Valuation) ที่ค่อนข้างแพง อีกทั้งความน่าสนใจของผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นยังไม่คุ้มค่ากับความเสี่ยงที่จะลงทุนในเวลานี้ จึงแนะนำให้ใช้โอกาสที่ Bond yield เพิ่มขึ้นรอบนี้ ทยอยสะสมสินทรัพย์ที่ได้ประโยชน์จากขาลงของดอกเบี้ย เช่น พันธบัตรรัฐบาลระยะยาวของสหรัฐฯ
"อัตราผลตอบแทนส่วนเพิ่มเพื่อชดเชยความเสี่ยง (Earning yield gap) ในตลาดหุ้น ซึ่งคำนวณโดยใช้สัดส่วนกำไรต่อราคาหุ้น (Earnings yield) ลบกับ Bond yield ยังอยู่ในระดับต่ำที่ 1.2% สะท้อนผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นที่ต่ำมาก เมื่อเทียบกับผลตอบแทนจากพันธบัตรรัฐบาล ทั้งนี้ เมื่ออ้างอิงจากสถิติในอดีต หากนักลงทุนเข้าลงทุนในตลาดที่ Earning yield gap ต่ำราว 1.2% เช่นในปัจจุบันนั้น จะได้ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีเพียง 2% ตลอดระยะเวลาการลงทุน 5 ปีต่อมา และราว 3.4% ต่อปีสำหรับระยะเวลาลงทุน 10 ปี ซึ่งยังต่ำกว่าผลตอบแทนจากการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 5 ปี และ 10 ปีที่ปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 4% ทำให้ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์การลงทุนทิสโก้มองว่าตลาดหุ้นยังไม่คุ้มค่าที่จะลงทุนในเวลานี้" นายคมศรกล่าว
สำหรับมุมมองเรื่อง Bond yield อายุ 10 ปีของสหรัฐฯ นั้น ในระยะสั้นอาจเห็น Bond yield ปรับขึ้นสู่ระดับระดับ 4-4.2% จากปัจจุบันอยู่ที่ 3.9% เพราะในเดือนที่ผ่านมา Bond yield ปรับลดลงเร็วมากเกินไป และอยู่ที่ระดับต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐาน ประกอบกับมีปัจจัยหนุนให้ Bond yield ปรับขึ้น 3 ประเด็นคือ 1.ตลาดคาดหวังกับการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มากเกินไป 2. อัตราเงินเฟ้อยังสูงเกินเป้าซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการลดดอกเบี้ยของ Fed และ 3. ภาวะการเงินที่ผ่อนคลายมากเกินไป อย่างไรก็ตาม ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่อาจปรับลดลงจากภาวะเศรษฐกิจที่อาจเข้าสู่ภาวะชะลอตัวในช่วงปลายปี 67 จะได้เห็น Bond yield ปรับตัวลดลงกลับมาที่ระดับ 3.8-3.9%