บล.ทิสโก้ ระบุว่า แนวโน้มการลงทุนหุ้นไทยปี 66 ไม่น่าจะผิดหวัง 2 ปีซ้อน แต่อย่าตั้งความคาดหวังไว้สูง หลังจากปี 67 ที่ผ่านมาเป็นปีที่น่าผิดหวังสำหรับนักลงทุนในตลาดหุ้นไทย เพราะ SET Index ให้ผลตอบแทน -15% ต่ำเกือบที่สุดในโลก อย่างไรก็ดี เรามองภาพรวมการลงทุนหุ้นไทยในปีนี้ดีขึ้น เราตั้งเป้า SET Index สิ้นปีไว้ที่ 1,550 จาก 5 ปัจจัยสนับสนุนดังนี้
(1) แนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจดีขึ้น TISCO ESU คาดเศรษฐกิจไทยปี 67 จะเติบโต 3.5% เพิ่มขึ้นจากปี 66 ที่คาดโต 2.6% องค์ประกอบหลักคาดจะกลับมาช่วยหนุนกิจกรรมเศรษฐกิจดีขึ้น ทั้งการส่งออกที่คาดกลับมาขยายตัว, การท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง และการลงทุนภาครัฐ-ภาคเอกชนที่เร่งตัวขึ้น
(2) คาดการณ์กำไรบริษัทจดทะเบียนเติบโต อิงจากคาดการณ์ SET EPS ของตลาดโดยรวม (Bloomberg Consensus) กำไรปี 67 คาดอยู่ที่ 96.7 บาท เติบโต +16% จากปี 66 ที่คาดอยู่ที่ 83.2 บาท เติบโตดีกว่า EPS Growth ของหุ้นโลกที่อยู่ที่ +8%
(3) วัฎจักรดอกขาขึ้นสิ้นสุดแล้ว จะเริ่มลดลงในปีนี้ ? ไม่ว่าเศรษฐกิจจะเสี่ยงเข้าสู่ภาวะถดถอยในปีนี้หรือไม่ เราคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะทยอยปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงในปีนี้ จะเป็นบวกต่อการประเมินมูลค่าหุ้น และราคาสินทรัพย์เสี่ยงโดยรวม
(4) ระดับประเมินมูลค่าน่าสนใจ ในแง่ Fwd. PER ปี 24F SET Index ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 14.5 เท่า เทียบกับค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ประมาณ 17 เท่า หรืออยู่ที่ -1SD และในแง่ของ PBV นอกจากจะลดลงมาแตะระดับ -1SD ของค่าเฉลี่ยระยะยาวแล้ว ระดับ PBV ที่ 1.3-1.4 เท่ายังมีนัยสำคัญ เพราะเป็นเส้นแนวโน้ม PBV ระยะยาวที่เคยผ่านวิกฤติมาแล้วถึง 3 ครั้ง (วิกฤติต้มยำกุ้งปี 1997, วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ปี 2008 และวิกฤติ COVID-19)
(5) สถิติหุ้นไทยไม่เคยปรับตัวลง 2 ปีซ้อน จากการศึกษาความเคลื่อนไหวของ SET Index หลังวิกฤติต้มยำกุ้งเป็นต้นมา SET Index ไม่เคยให้ผลตอบแทนติดลบ 2 ปีติดต่อกันเลย หากประวัติศาสตร์ซ้ำรอย เราน่าจะคาดหวังผลตอบแทนของ SET Index ในปี 67 เป็นบวกได้ไม่มากก็น้อย หลังจากที่ติดลบมากในปี 66
ถึงแม้เรามองภาพรวมตลาดหุ้นไทยปี 67 ดีขึ้น แต่ยังต้องระมัดระวังความผันผวนในช่วงครึ่งปีแรก เนื่องจากความล่าช้างบประมาณปี 67 ทำให้เศรษฐกิจในประเทศช่วง 3-4 เดือนแรกของปีนี้ยังขาดแรงส่งที่สำคัญ นอกจากนี้ เราห่วงตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะเกิดการปรับฐานหลังจากที่ขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่ในปีที่แล้ว โดยตลาดอาจคาดหวังไว้สูงเกินไปเกี่ยวกับการลดดอกเบี้ยของเฟดที่จะเกิดขึ้นเร็วที่สุดในการประชุมเดือน มี.ค. และยังคาดหวังว่าจะลดลงมากถึง 6 ครั้งในปีนี้ หรือ -150 bps vs Dot Plot ของเฟดล่าสุดในเดือน ธ.ค. คาดว่าจะลดดอกเบี้ยลง 3 ครั้ง หรือ -75 bps มองเฟดจะเลือกคงดอกเบี้ยตลอดครึ่งปีแรก และจะเริ่มลดเมื่อเข้าสู่ช่วงครึ่งปีหลัง
นอกจากนี้ เศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่เปราะบาง ทำให้ตลาดประเมิน Nominal GDP และ Real GDP Growth ปี 67 จะเติบโตชะลอลงเป็น 3.7% และ 1% ตามลำดับ สวนทางกับกำไรของสหรัฐฯ ในปี 67 คาดว่าจะโตสูงถึง 12% ซึ่งไม่สอดคล้องกับความสัมพันธ์ในอดีตที่การเติบโตของเศรษฐกิจและกำไรบริษัทจดทะเบียนจะเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกันและมีความสอดคล้องกัน หากอัตราการเติบโตเศรษฐกิจอยู่ที่ 3.7% กำไรมักจะโตเพียง 4-5% เท่านั้น ชี้ว่าคาดการณ์กำไรของสหรัฐฯ ในปัจจุบันนั้นอาจสูงเกินไป เสี่ยงถูกปรับลงในระยะข้างหน้า
สรุป แม้ SET Index ครึ่งปีแรกยังคาดหวังเชิงบวกได้ไม่มาก แต่โอกาสการลงทุนมีอยู่เสมอหากเลือกได้ถูกตัว-ถูกจังหวะ เรามองช่วงเวลานี้เป็นจังหวะในการสะสมหุ้นที่คาดจะจ่ายเงินปันผลเด่น แนะนำ AP, KTB, SCB, SCCC, SIRI, TASCO ผสานกับหุ้นที่ได้ประโยชน์จากมาตรการ E-Receipt และการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง แนะนำ CPALL, CRC
เพราะฉะนั้น หุ้นเด่นที่เราแนะนำในเดือน ม.ค. คือ AP, CPALL, CRC, KTB, SCB, SCCC, SIRI และ TASCO ด้านแนวรับ และแนวต้านสำคัญของ SET Index เดือนนี้อยู่ที่ 1390, 1365-70, 1355 จุด (โลว์เดิมของปีที่แล้ว) และ 1420-30, 1460-70 จุด ตามลำดับ