หุ้น TOP ร่วง 2.74% มาอยู่ที่ 71.00 บาท ลดลง 2.00 บาท เมื่อเวลา 10.15 น.โดยเปิดตลาดที่ 72.50 บาท ราคาปรับขึ้นสูงสุดที่ 72.50 บาท และราคาปรับลงต่ำสุดที่ 70.50 บาท
บทวิเคราะห์ บล.เอเซีย พลัส ประเมินหุ้น บมจ.ไทยออยล์ (TOP) ในระยะสั้นการประกาศผลประกอบการที่อ่อนตัวกว่างวดก่อนหน้า และแนวโน้มค่าการกลั่นที่เริ่มอ่อนตัวลงจากความต้องการที่เริ่มลดลงโดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา ประกอบกับยังถูกกดดันด้วยราคาน้ำมันดิบที่ทำ New High ต่อเนื่อง ซึ่งปัจจัยดังกล่าวอาจกดดันราคาหุ้น ดังนั้นเพื่อเป็นการจำกัดความเสี่ยงให้เน้นเข้าลงทุนเมื่อราคาหุ้นอ่อนตัว
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิจัยยังคงประมาณการปี 2551-2552 เนื่องจากคาดว่าผลกำไรในงวด 2Q51 จะเติบโตสูงขึ้นจากทั้งค่าการกลั่นเฉลี่ยที่ปรับตัวสูงขึ้นมาก (ภายใต้สถานการณ์ปกติไตรมาส 2 ถือว่ามีระดับค่าการกลั่นสูงสุดของปี) และการขยายกำลังการผลิตของ TPX แล้วเสร็จทำให้มีกำลังการผลิตอะโรเมติกส์เพิ่มขึ้นเป็น 9 แสนตันต่อปี โดยประเมินมูลค่าพื้นฐาน ณ สิ้นปี 2551 โดยวิธี DCF เท่ากับ 93.56 บาท/หุ้น (ภายใต้สมมติฐานค่าการกลั่นในปี 2551 ที่ 6.5 เหรียญฯต่อบาร์เรล ลดลงจากปี 2550 ที่เกิดขึ้นจริงที่ 7.59 เหรียญฯต่อบาร์เรล ปัจจุบันค่าเฉลี่ยค่าการกลั่น YTD เท่ากับ 7.72 เหรียญฯต่บาร์เรล)
TOP ประกาศกำไรสุทธิงวด 1Q51 เท่ากับ 3.87 พันล้านบาท ปรับตัวลดลง 16.2%qoq ดีกว่าที่ฝ่ายวิจัยคาดไว้เล็กน้อย เนื่องจากเราประเมินขาดทุนจากการทำสัญญาแลกเปลี่ยนส่วนต่างราคาน้ำมันสุทธิ (Hedging) ไว้สูงเกินไป โดยเกิดขึ้นจริงเพียง 320 ล้านบาท ขณะที่ผลการดำเนินงานปกติใกล้เคียงกับที่คาดไว้ โดยกำไรจากธุรกิจโรงกลั่นยังคงปรับตัวลดลงตามคาดตามแนวโน้มค่าการกลั่นที่อ่อนตัวลงมากในช่วงเดือน ม.ค. และ ก.พ. ก่อนที่จะทยอยปรับตัวสูงขึ้นในช่วงเดือน มี.ค. 2551 ซึ่งยังคงทำให้ค่าเฉลี่ย GRM ในงวดนี้ลดลง 10%qoq (อ้างอิงตลาดสิงคโปร์) แม้ว่าในงวด 1Q51 จะมีกำลังการผลิตส่วนเพิ่มอีก 22% (จาก 2.25 เป็น 2.75 แสนบาร์เรลต่อวัน) จากการขยายโรงกลั่นแล้วเสร็จตั้งแต่ช่วง 4Q50 ที่ผ่านมา แต่ก็ยังไม่สามารถชดเชยกับแนวโน้มค่าการกลั่นที่อ่อนตัวลงได้ โดยกำไรสุทธิในงวด 1Q51 คิดเป็น 20% ของกำไรสุทธิทั้งปี 2551
--อินโฟเควสท์ โดย จำเนียร พรทวีทรัพย์/รัชดา โทร.0-2253-5050 ต่อ 317 อีเมล์: rachada@infoquest.co.th--