นายธนพิศาล คูหาเปรมกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.โกลเบล็ก (GLOBLEX) เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า ในปี 67 บริษัทมีแผนขยายงานกองทุนส่วนบุคคล (Private Fund) หลังจากคว้าไลเซ่นส์ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการจัดการกองทุนส่วนบุคคล (Private Fund) แล้ว โดยวางเป้าหมายปีแรกกวาดยอดสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) 500 ล้านบาทจากลูกค้า 20-30 ราย ซึ่งจะเป็นการช่วยเพิ่มมาร์จิ้น กระจายรายได้ ลดการพึ่งพิงรายได้จากค่าคอมมิชชั่น จากการมุ่งมั่นสร้างผลตอบแทนให้กับลูกค้า
อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงมุ่งหน้าสร้างรายได้จากธุรกิจนายหน้าค้าหลักทรัพย์ (โบรกเกอร์) ซึ่งถือเป็นรายได้หลักอย่างต่อเนื่อง แต่ก็เชื่อว่าธุรกิจโบรกเกอร์ปีนี้ยังคงมีการแข่งขันสูงอย่างต่อเนื่อง โดยน่าจะเห็นโบรกเกอร์รายใหม่เข้ามาในตลาดเพิ่มอีก 1 ราย ขณะที่บริษัทก็จะหารายได้เสริมจากส่วนอื่นเข้ามาเพิ่มด้วย เช่น การทำธุรกรรมซื้อขายตราสารหนี้ และสัญญาซื้อคืน (Sale buy back), ผู้จัดการการจำหน่ายหุ้นกู้ (Underwriter) และให้บริการด้านการเป็นตัวแทนซื้อขายกองทุนรวม (Wealth Management) รวมไปถึงบริการ Block trade , มาร์จิ้น เป็นต้น
ปัจจุบัน GLOBLEX มีสัดส่วนรายได้จากโบรกเกอร์ประมาณ 60% ที่เหลือเป็นอื่นๆ อย่างไรก็ตามแม้ว่ารายได้ในธุรกิจอื่นๆ จะน้อยกว่าธุรกิจโบรกเกอร์ แต่มีมาร์จิ้นสูง ทำให้คาดว่ากำไรปี 67 น่าจะเติบโตดีกว่าปี 66 ได้
"ปีนี้กำไรก็ควรจะโตกว่าปีก่อน และรายได้ก็น่าจะโตมากกว่า 10% หลังรับรู้ข่าวร้ายไปมากแล้วในปีที่ผ่านมา และเทิร์นโอเวอร์ (Turnover) ค่อนข้างต่ำแล้ว เห็นได้จาก 2-3 วันที่ผ่านมา Turnover สูงขึ้น เพราะลูกค้ารีเทลเทรดกันมากขึ้น ซึ่งมองว่าเป็นทิศทางที่ดีขึ้น จากมีข่าวดีกลับเข้ามา แม้ในปีนี้อาจเห็นการชะลอการออกหุ้นกู้ไปบ้าง แต่เราก็มีการรายได้ส่วนอื่นเข้ามาเสริม"
สำหรับสถานการณ์หุ้นกู้ในปีนี้ มองว่ายังมีความเสี่ยง แต่ก็ขึ้นอยู่กับ Sentiment ตลาดหุ้นไทย หากนักลงทุนยังมีความมั่นใจกับหุ้นกู้ตัวนั้นๆ ก็สามารถเข้าไปลงทุนได้ ขณะที่การคัดกรองสินค้าก่อนนำไปขายให้กับลูกค้า ในฝั่งของ GLOBLEX ก็จะดูว่าบริษัทนั้นๆ มีความสามารถในการชำระเงินหรือไม่ , มี Bank Loan เท่าไหร่, มี Asset Backed หรือไม่ เป็นต้น เพื่อเป็นการลดความเสียหายที่เกิดจากการผิดนัดชำระหุ้นกู้ในอนาคตไปได้บ้าง
นายธนพิศาล กล่าวว่า ธุรกิจวาณิชธนกิจ ภายใต้การบริหารจัดการของบริษัทในเครือ คือ บริษัท แคปปิตอลวัน พาร์ทเนอร์ จำกัด ปัจุบันมีงานที่ปรึกษาทางการเงิน (FA) ในมือราว 7-8 บริษัท โดยส่วนใหญ่จะเป็นบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai ทั้งนี้มองการเสนอขายหุ้นสามัญให้กับประชาชนทั่วไป (IPO) ในปีนี้น่าจะกลับมาดี เมื่อเทียบกับปีก่อนที่เผชิญกับข่าวร้าย ทำให้กระทบต่อความเชื่อมั่นนักลงทุน แต่ในปีนี้หากตลาดเรียกความเชื่อมั่นได้ก็มั่นใจว่าตลาดหุ้นไทยจะดี
นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก (GBS) กล่าวว่า GBS คาดการณ์ SET Index ปี 67 จะมีแนวรับอยู่ที่ 1,355 จุด และแนวต้าน 1,645 จุด อ้างอิง EPS ที่ 96.77 บาท/หุ้น และ P/E ที่ 14-17 เท่า ปัจจัยบวกจะมาจาก 1. ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) น่าจะยุติการปรับขึ้นดอกเบี้ย และเริ่มเห็นการลดดอกเบี้ยราวเดือน มี.ค.67 เป็นต้นไป ซึ่งจากเดิมมองว่าทั้งปีจะลดดอกเบี้ยทั้งหมด 3 ครั้ง แต่ปัจจุบัน Consensus ให้ไว้ที่ 6 ครั้ง
2. การขยายตัวทางเศษฐกิจของไทย (GDP) คาดการณ์ว่าจะเติบโตได้ 3-4% ตัวแปรอยู่ที่ดิจิทัลวอลเล็ต หากมาได้จะเข้ามาหนุนการเติบโตเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันก็จะมีปัจจัยบวกจากภาคส่งออกกลับมาฟื้นตัว ซึ่งกระทรวงพาณิชย์คาดการณ์จะเห็นการส่งออกกลับมาเป็นบวกเกือบ 2% หลังกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆ ดีขึ้น และภาคท่องเที่ยวยังฟื้นตัวต่อเนื่อง รวมถึงการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ เพิ่มเติมของรัฐบาล
ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงในปีนี้ ได้แก่ เศรษฐกิจจีนชะลอตัว, ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์, หนี้สาธารณะต่อจีดีพี และภาระหนี้ภาคครัวเรือน