ดังนั้น KAsset จึงมุ่งพัฒนาแผนกลยุทธ์เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการคัดเลือกและจัดสรรสินทรัพย์ทั่วโลก พร้อมปรับรูปแบบการลงทุนให้สอดรับและทันทุกการเปลี่ยนแปลง ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ KAsset ที่จะทำให้พอร์ตการลงทุนของผู้ลงทุนไทยมีความมั่นคงและเติบโตได้อย่างยั่งยืน
นายแดน วัตกินส์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เจ.พี. มอร์แกน แอสเซท แมเนจเม้นท์ ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า ทีมงานของ JPMAM รู้สึกตื่นเต้นที่จะได้สร้างความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับ KAsset ซึ่งเป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่มีความสัมพันธ์อันดีมายาวนาน เพื่อนำเสนอสิ่งที่ดีที่สุดให้กับผู้ลงทุนไทย โดยมองว่าตลาดทุนไทยเป็นตลาดที่มีความคึกคักและเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการเติบโตเร็วที่สุดในภูมิภาค อย่างไรก็ดี ความเชี่ยวชาญด้านการลงทุนทั่วโลกของ JPMAM ทำให้พวกเรามีความพร้อมที่จะนำเสนอโซลูชั่นการลงทุนที่ได้มาตรฐานระดับโลกให้กับผู้ลงทุนไทย และเป็นการเปิดโอกาสในการขยายธุรกิจของ JPMAM ไปทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
ความร่วมมือในครั้งนี้เป็นการผนึกกำลังจาก 2 บลจ.ชั้นนำด้านการลงทุน โดย JPMAM เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารการลงทุนระดับโลก มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการ (AUM) 2.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่ KAsset เป็นผู้นำตลาดกองทุนรวมของไทย มี AUM กว่า 1.49 ล้านล้านบาท มีความเข้าใจเชิงลึกต่อสินทรัพย์และสถานการณ์การลงทุนในไทย โดยความร่วมมือนี้จะมุ่งเสริมศักยภาพของ KAsset ให้ครอบคลุมทุกมิติ ทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพการลงทุนและพัฒนาผลิตภัณฑ์ การให้ข้อมูลเชิงลึกที่เข้าถึงผู้ลงทุนได้ทันสถานการณ์อย่างตรงไปตรงมา และการให้คำปรึกษาอย่างเข้าใจ ตอบโจทย์เป้าหมายทางการเงิน
J.P. Morgan Asset Management เข้ามาร่วมมือเชิงกลยุทธ์ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการ รวมถึงนวัตกรรมด้านการลงทุน ที่มุ่งเน้นการพัฒนาขีดความสามารถในการคัดเลือกและจัดสรรสินทรัพย์ทั่วโลกเพื่อยกระดับการลงทุนของไทย พร้อมสร้างความเข้าใจเชิงลึกให้กับผู้ลงทุนไทยเพื่อลดความผันผวนของพอร์ตการลงทุน โดยจะพัฒนาปรับปรุงกองทุนรวมประเภทสินทรัพย์ผสม (Multi Asset Fund) เดิมที่บลจ.กสิกรไทยมี หรืออาจออกกองทุน Multi Asset ใหม่ ภายในอีก 3 เดือน
นายสุรเดช เกียรติระนากร กรรมการผู้จัดการ ASset คาดว่าภายใน 3 ปี จะผลักดันกองทุนรวมประเภทสินทรัพย์ผสม (Multi Asset Fund) ให้มี AUM เพิ่มอีก 1 แสนล้านบาท จากปัจจุบันที่มี AUM กลุ่ม Multi Asset Fund เดิมอยู่ที่ 2 หมื่นล้านบาท ส่วนใหญ่ลูกค้าเป็นกลุ่มนักลงทุนรายใหญ่ (High Net Worth)
"กลุ่ม High Net Worth ยังขยายตัวดีต่อเนื่อง และมีสัดส่วนการลงทุนเพิ่มขึ้น ซึ่งเราอยากให้กลุ่มดังกล่าว ลงทุนในกอง Multi Asset Fund เป็นหลักเพื่อป้องกันความผันผวนจากตลาดลงทุนอื่นๆ แล้วค่อยเลือกลงทุนตลาดเฉพาะกลุ่มเพิ่ม ซึ่งการจับมือกับ J.P. Morgan ผู้เชี่ยวชาญด้านตลาดลงทุนทั่วโลก จะช่วยเสริมการลงทุนในกอง Multi ได้ดียิ่งขึ้น" นายสุรเดช กล่าว
ด้านกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (TESG) ยังมีโอกาสได้รับความนิยมต่อเนื่องในปีนี้ ซึ่งในช่วงการขายเดือนธ.ค.ปี 66 ที่ผ่านมากองทุน TESG ของบลจ.กสิกรไทยได้ผลการตอบรับค่อนข้างดีจากผู้ลงทุน โดยมียอดซื้อรวม 1.5 พันล้านบาท จากภาพรวมของอุตสาหกรรมที่ขายได้ 5 พันล้านบาท
สำหรับภาพรวมตลาดหุ้นไทยในปี 67 มองเป้าหมายดัชนีที่ 1,500 จุด โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากมุมมองเศรษฐกิจดีกว่าปี 66 จากภาพรวมรัฐบาลที่สนับสนุนกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว แต่ทั้งนี้ต้องติดตามปัจจัยตลาดต่างประเทศประกอบกัน โดยเฉพาะทิศทางอัตราดอกเบี้ยของธนาคารต่างๆในปีนี้ เป็นต้น