นายกรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.แอสเซทไวส์ (ASW) กล่าวว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานปี 66 สามารถสร้างยอดขาย New High ที่ 1.64 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 16% จากปี 65 ทะลุเป้าหมายทั้งปีที่วางไว้ที่ 1.5 หมื่นล้านบาท เป็นผลมาจากกระแสตอบรับที่ดีจากโครงการคอนโดมิเนียมที่เปิดในปีที่ผ่านมา ได้แก่ โครงการโมดิซ อาวองการ์ด (Modiz Avantgarde) ซึ่งเป็น Campus Condo ใกล้ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มูลค่าโครงการ 1.8 พันล้านบาท, เคฟ ทาวน์ ไอส์แลนด์ (Kave Town Island) มูลค่าโครงการรวมกว่า 3.2 พันล้านบาท ที่ได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัย และกลุ่มผู้ต้องการลงทุนคอนโดฯ เพื่อรับผลตอบแทน
และล่าสุดบริษัทได้เปิดขายโครงการ คอนโดมิเนียม เดอะ ไทเทิล เลเจนดารี บางเทา (The Title Legendary Bang-Tao) มูลค่าโครงการ 4.5 พันล้านบาท ซึ่งสามารถปิดการขายผ่านเอเยนต์ในเฟสแรกได้ภายในวันเดียว
ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 66 เป็นปีที่ท้าทาย เนื่องจากเศรษฐกิจโดยรวมมีปัจจัยเสี่ยงทั้งภายใน และภายนอกประเทศ อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่องจากการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่สอดคล้องกับกำลังซื้อผู้บริโภคที่มีอยู่ในตลาดปัจจุบัน ทั้งคอนโดฯ สำหรับคนทำงานในเมือง (City Condo) ที่เติบโตตามภาวะเศรษฐกิจที่ทยอยฟื้นตัว และตลาดคอนโดฯ รอบสถานศึกษา (Campus Condo) ที่มีความต้องการสูงทั้งในกลุ่มนักศึกษา ผู้ปกครอง รวมถึงกลุ่มคนที่ต้องการกระจายความเสี่ยงในการลงทุน และบริหารเงินด้วยการซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่อรับผลตอบแทนในระยะยาวในภาวะที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากยังอยู่ในระดับค่อนข้างต่ำ และการกลับมาของตลาดนักท่องเที่ยวชาวไทย และชาวต่างชาติในหัวเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญๆ เพื่อเป็นบ้านหลังที่สอง
"ปี 66 ถึงแม้จะเป็นปีที่ท้าทาย แต่ก็ถือว่าเป็นปีทองของ ASW เช่นกัน เพราะนอกจากจะมียอดขายเติบโตสร้างสถิติใหม่แล้ว ยังเป็นปีที่มีโครงการใหม่ทยอยสร้างเสร็จเพื่อโอนกรรมสิทธิ์สูงถึง 10 โครงการ มูลค่าโครงการวม 1.45 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะเป็นแรงส่งที่ดีในการรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 66-67" นายกรมเชษฐ์ กล่าว
สำหรับในปี 67 บริษัทมีโครงการที่สร้างเสร็จใหม่พร้อมโอนอีก 10 โครงการ รวมมูลค่า 1.93 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น คอนโดมิเนียม 8 โครงการกว่า 1.4 หมื่นล้านบาท ได้แก่ แอทโมซ คาแนล รังสิต, เดอะไทเทิล ฮาโล 1 , เคฟ ซี้ด เกษตร , เคฟ ยูนิเวิรส์, เคฟ ทาวน์ ไอส์แลนด์ และแนวราบ 2 โครงการกว่า 5.25 พันล้านบาท ได้แก่ โครงการ ดิ ออเนอร์ โยธินพัฒนา และ ดิ อาเบอร์ ดอนเมือง-แจ้งวัฒนะ ซึ่งโครงการแนวราบจะทยอยรับรู้รายได้ต่อเนื่องไปอีก 3 ปี และยังมีโครงการสร้างเสร็จพร้อมเข้าอยู่ (Ready to move) รวมถึงความแข็งแกร่งของ Backlog ที่จะเข้ามาเสริมศักยภาพของบริษัทให้เติบโตต่อเนื่องต่อไป
บริษัทคาดว่าภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ปี 67 มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นตามเศรษฐกิจที่สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติประเมินว่าจะขยายตัว 2.7-3.7% และจากการที่ภาครัฐต่ออายุมาตรการลดค่าธรรมเนียมอีก 1 ปี มีผลบังคับใช้ถึงวันที่ 31 ธ.ค. 67 โดยลดค่าจดทะเบียนโอนเหลือ 1% ค่าจดทะเบียนการจำนองเหลือ 0.01% สำหรับที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท จะเป็นผลดีต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์ และเกิดการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และช่วยบรรเทาภาระให้แก่ผู้ที่ต้องการซื้ออสังหาริมทรัพย์