บมจ.เทคโนโลยี อินฟราสตรัคเจอร์ (TI) ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และร่างหนังสือชี้ชวนต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวน 31 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท คิดเป็น 27.93% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดภายหลัง IPO และจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (mai) หมวดธุรกิจการเงิน โดยมี บล.บริษัท เอส 14 แอดไวเซอรี่ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
วัตถุประสงค์การระดมทุนในครั้งนี้
1. ใช้ในการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับ Cybersecurity, AI, Data Analytics, Robot โดยการจ้างบุคลากรทางด้านซอฟแวร์เอ็นจิเนียร์ และอุปกรณ์ สนับสนุนที่เกี่ยวข้อง ประมาณ 10 ล้านบาท ระยะเวลาการใช้เงินประมาณปี 67
2. ใช้เป็นเงินลงทุนขยายกิจการ เพิ่มในส่วนของศูนย์ปฎิบัติการเครือข่าย หรือ Network Operration Center เพื่อให้ครอบคลุมความต้องการของลูกค้า มีระบบการปฎิบัติการทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมงไม่มีวันหยุด โดยการจ้างบุคลากรและอุปกรณ์สนับสนุนที่เกี่ยวข้อง ประมาณ 10 ล้านบาท ระยะเวลาการใช้เงินประมาณปี 67
3. ลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องเพื่อสร้างการเติบโตให้บริษัท ประมาณ 20 ล้านบาท โดยมีระยะเวลาการใช้เงินในปี 67-68
4. ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน
บริษัทฯ ประกอบธุรกิจเป็นผู้ให้บริการเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารโทรคมนาคมแบบครบวงจร และจัดจำหน่าย ผลิตภัณฑ์และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยมุ่งเน้นการให้บริการด้านความปลอดภัย ของเทคโนโลยีสารสนเทศ (Cyber Security) โดยให้บริการอย่างครบวงจร ตั้งแต่การให้คำปรึกษา ประเมินความต้องการลูกค้า การออกแบบระบบ การวางแผนโครงการ การจัดหา การติดตั้ง การดำเนินการ การซ่อมบำรุงรักษา การฝึกอบรม ที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูงเป็นที่ยอมรับระดับโลก เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการในธุรกิจของลูกค้าทุกระดับ ตั้งแต่องค์กรขนาดกลางไปจนถึงองค์กรขนาดใหญ่ ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน นอกเหนือจากการให้บริการด้านความปลอดภัยของเทคโนโลยีสารสนเทศแล้ว บริษัทฯ ยังให้บริการครอบคลุมไปจนถึง ระบบเครือข่ายข้อมูล (Network) ระบบคอมพิวเตอร์แม่ข่าย (Server System) และ ระบบโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure)
บริษัทฯ ยังมีบริการดูแลและบำรุงรักษาระบบ (Maintenance Service) และให้บริการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งประกอบด้วย 1. การให้บริการศูนย์ปฏิบัติการเครือข่าย (Network Operations Center) 2. บริการให้เช่าอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีสารสนเทศ (Equipment rental service) และ 3. บริการทดสอบเจาะระบบ (Penetration Testing Service) โดยมีทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านและประสบการณ์ทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศมายาวนาน มีความเข้าใจธุรกิจในอุตสาหกรรมที่หลากหลาย จึงสามารถให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนกลุ่มลูกค้าได้ทุกขนาดธุรกิจ โดยบริษัทฯ มีความมุ่งมั่นที่จะเป็นส่วนสนับสนุนความเปลี่ยนแปลงในองค์กรลูกค้า ให้สามารถสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันและปรับตัวสู่ยุคดิจิทัลที่มีความท้าทาย และเต็มไปด้วยนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่เปลี่ยนไปจากเดิม
โครงสร้างผู้ถือหุ้น 5 อันดับแรก ประกอบด้วย นายพีรวิชญ์ วรรณวิทยาภา ถือหุ้น 74.80% หลัง IPO จะลดสัดส่วนลงเหลือ 53.91%, นางเตือนใจ วรรณวิทยาภา ถือหุ้น 6.30% จะลดเหลือ 4.54%, นายชาตรี วรรณวิทยาภา ถือหุ้น 6.30% จะลดเหลือ 4.54%, น.ส.อริสา วรรณวิยาภา ถือหุ้น 6.30% จะลดเหลือ 4.54%, นายณัฐพล วรรณวิทยาภา ถือหุ้น 6.30% จะลดเหลือ 4.54%
ผลการดำเนินงานในปี 63-65 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายและให้บริการจำนวน 309.19 ล้านบาท 267.65 ล้านบาท และ 321.97 ล้านบาท ตามลำดับ และมีรายได้จากการขายและให้บริการในไตรมาสที่ 3/65 และ 66 เท่ากับ 232.64 ล้านบาท และ 175.07 ล้านบาท ตามลำดับ
1. รายได้จากการจัดจำหน่ายและวางระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ในปี 63-65 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายผลิตภัณฑ์สำหรับสถานพยาบาล เป็น 268.21 ล้านบาท 219.32 ล้านบาท และ 249.07 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นสัดส่วน 77.36 - 86.75% ของรายได้รวม ในปี 63 มีโครงการขนาดใหญ่ที่ซื้อพร้อมติดตั้งระบบรักษาความปลอดภัยเครือข่ายและระบบเครือข่ายหลักมูลค่า 57.43 ล้านบาท
ในปี 64 บริษัทฯ มีรายได้จากการจัดจำหน่าย และวางระบบเทคโนโลยีสารสนเทศลดลง 18.23% เนื่องจากมีการขาดแคลนสินค้าทั่วโลกจากสถานการณ์โควิด-19
ในปี 65 บริษัทฯ มีรายได้จากการจัดจำหน่าย และวางระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเพิ่มขึ้น 13.56% จากจำนวนโครงการที่เพิ่มขึ้นและมีขนาดใหญ่มากยิ่งขึ้นจากทั้งภาครัฐและเอกชน บริษัทฯ มีรายได้จากการขายผลิตภัณฑ์สำหรับสถานพยาบาลในไตรมาสที่ 3/65 และปี 66 เป็น 178.07 ล้านบาท และ 127.07 ล้านบาท ตามลำดับ ลดลง 28.64%
2. รายได้จากการให้บริการดูแลและบำรุงรักษาระบบ ในปี 63-65 บริษัทฯ มีรายได้จากการให้บริการดูแลและบำรุงรักษาระบบ เป็น 40.98 ล้านบาท 48.33 ล้านบาท และ 72.91 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นสัดส่วน 13.25-22.64% ของรายได้รวม ในปี 65 มีรายได้จากการให้บริการดูแลและบำรุงรักษาระบบจากการว่าจ้างเหมาบริการดูแลและบำรุงรักษาระบบจากภาครัฐและเอกชนที่ต้องการจ้างเหมาดูแลรักษาระบบรักษาความปลอดภัย และงานต่ออายุสัญญาให้ใช้สิทธิโปรแกรมป้องกันไวรัสในภาคเอกชนกลุ่มสถาบันการเงิน จึงทำให้รายได้ในส่วนบริการดูแลและบำรุงรักษาระบบเติบโตขึ้น 50.86% จากปี 64
ส่วนกำไรสุทธิในปี 63-65 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 11.18 ล้านบาท 16.63 ล้านบาท และ 15.32 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 3.60% , 6.19% และ 4.74% ตามลำดับ ในไตรมาสที่ 3/66 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิจำนวน 8.18 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 4.63% ขณะที่ไตรมาสที่ 3/65 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิจำนวน 9.21 ล้านบาท
บริษัทฯ มีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิของงบการเงินเฉพาะกิจการ ภายหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคล เงินสำรองตามกฎหมาย และเงินสำรองต่าง ๆ (หากกำหนดไว้และหากมี)