หุ้น ESSO ปิดเทรดวันแรกที่ 10.50 บาท เหนือจอง 5% จากราคา IPO ที่ 10.00 บาท มูลค่าการซื้อขาย 2,636.85 ล้านบาท โดยเปิดตลาดที่ 10.90 บาท ราคาปรับขึ้นสูงสุดที่ 11.00 บาท และราคาปรับลงต่ำสุดที่ 10.40 บาท
วันนี้มีรายการบิ๊กล็อต 11 รายการ จำนวน 6.55 ล้านหุ้น คิดเป็นมูลค่า 69.47 ล้านบาท ราคาเฉลี่ย 10.61 บาท/หุ้น
บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส แนะ"ซื้อ"หุ้น บมจ.เอสโซ่ (ประเทศไทย) (ESSO) ณ ราคา IPO 10 บาท ซื้อขายที่ PE ปี 51 เท่ากับ 6.0 เท่า, PBV 1.0 เท่า และให้ Dividend Yield ปี 51 เท่ากับ 14.2% ส่วนราคาตามพื้นฐาน 13.40 บาท อิงกับ PE ปี 51 เท่ากับ 8 เท่า ซึ่งต่ำกว่า PE เป้าหมายของ TOP และ PTTAR ประมาณ 15% ด้วยข้อจำกัดเรื่อง Growth และกำลังการผลิตที่ต่ำกว่าของ ESSO
ฐานะการเงินแข็งแกร่ง บริษัทมีการปรับงบดุล โดยการลดพาร์ตัดผลขาดทุนสะสมในปี 50 (ก่อนทำ IPO) ณ สิ้นปี 50 บริษัทมีผลขาดทุนสะสมที่ใช้หักภาษี 9.24 พันล้านบาท ประมาณการว่า อัตราภาษีจ่ายจะลดลงเป็น 0% และ 2.8% ในปี 51-52 ตามลำดับ บริษัทฯไม่มีแผนขยายกำลังการผลิต ค่าการกลั่นในปี 48-50 เท่ากับ 6.51, 3.38 และ 7.29 S$/bbl ประมาณการว่าปี 51-52 จะเป็น 6.3 และ 5.3 US$/bbl และคาดการณ์ว่ากำไรสุทธิปี 51-52 จะลดลง 25% และ 17% ส่วน EPS (Fully Diluted) ลดลง 75% และ 24% ตามลำดับ
จ่ายเงินปันผลจูงใจ ในปี 51 คณะกรรมการมีมติให้จ่ายปันผลระหว่างกาล 1 บาทต่อหุ้น โดยผู้จองซื้อหุ้น IPO จะได้ปันผลส่วนนี้ด้วย คาดว่าจะจ่ายประมาณมิ.ย.51 (ยังไม่กำหนด XD) เราประมาณการเงินปันผลสำหรับทั้งปี 51 ไว้ที่ 1.40 บาท/หุ้น
ESSO เป็นโรงกลั่นที่มีกำลังการผลิตใหญ่เป็นอันดับ 3 ในไทย โดยมีกำลังการผลิตโรงกลั่น 1.77 แสนบาร์เรลต่อวัน PX 5 แสนตัน/ปี และผลิตภัณฑ์อื่นๆ 5 หมื่นตัน/ปี บริษัทได้รับการสนับสนุนจาก บริษัทแม่ คือ EXXON เป็นอย่างดีมาโดยตลอด
--อินโฟเควสท์ โดย จำเนียร พรทวีทรัพย์/รัชดา โทร.0-2253-5050 ต่อ 317 อีเมล์: rachada@infoquest.co.th--