CG CAPITAL เปิดตัวเป็นบริหารกองทุน Private Equity ตระกูลจิราธิวัฒน์ โดยทีมบริหารนำทัพนักลงทุนสถาบันชั้นนำประเดิมตั้งกองทุนแรก 10,000 ล้านบาท มุ่งลงทุนกลุ่มโรงแรม ท่องเที่ยวและอสังหาริมทรัพย์ในไทย ปักหมุด 4 เมืองท่องเที่ยวหลัก พร้อมประกาศลงทุนโครงการแรกกับ Standard International แบรนด์บูทีคโฮเทลและไลฟ์สไตล์ มูลค่า 5,000 ล้านบาท ในรูปแบบโครงการมิกซ์ยูส
นายภูมิ จิราธิวัฒน์ ผู้ก่อตั้งและกรรมการบริหาร CG Capital เปิดเผยว่า ธุรกิจกองทุนแยกตัวออกจากธุรกิจของเครือเซนทรัลกรุ๊ป ซึ่งมี บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา (CPN) เป็นธุรกิจพัฒนาศูนย์การค้าแบบ Mixed Use ทั่วประเทศ บมจ.เซ็นทรัลรีเทล (CRC) ที่ดูแลธุรกิจเกี่ยวกับศูนย์การค้า และ บมจ.โรงแรมเซ็นทรัล (CENTEL) ทำธุรกิจโรงแรม ซึ่งรายได้ส่วนใหญ่ของ CENTEL มาจากการบริหารโรงแรม ส่วน CP Capital เป็นธุรกิจบริหารบริหารทุนของนักลงทุนทั้งในและนอกประเทศด้วยสัดส่วน 50:50 ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีความแตกต่างกับเครือเซนทรัลกรุ๊ป
"ธุรกิจของบริษัทไม่มี Conflict กับธุรกิจโรงแรมของเซนทรัลกรุ๊ป เพราะว่า CG Capital เป็นนักลงทุน ซึ่งต้องเลือกวิธีที่ดีที่สุด สำหรับสินทรัพย์ที่เราถือ ก็ไม่ได้จำเป็นที่จะต้องใช้บริษัทในเครือเพื่อบริหาร"
ทั้งนี้ ภาพรวมของธุรกิจท่องเที่ยวไทยหลังวิกฤตโควิด-19 สามารถพลิกฟื้นกลับมาขยายตัวได้อย่างรวดเร็ว เห็นได้ชัดจากสิ้นปี 66 ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาประเทศไทยจำนวนสูงถึง 28 ล้านคน และมีแนวโน้มที่ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติจะเพิ่มขึ้นเท่าช่วงก่อนวิกฤตโควิด-19 และขยายตัวต่อไปได้อย่างแน่นอน จึงมองว่าแนวโน้มธุรกิจต่าง ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับภาคท่องเที่ยวยังมีอัตราการเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่องในระยะยาว จึงตัดสินใจจัดตั้งบริษัทขึ้นมาดำเนินธุรกิจบริหารการลงทุนในรูปแบบกองทุน Private Equity
นายสรวิศ ชัยโรจน์ ผู้ก่อตั้งและกรรมการบริหาร CG Capital จำกัด กล่าวว่า บริษัทได้จัดตั้งกองทุนแรกมูลค่า 10,000 ล้านบาท ซึ่งมีผู้ลงทุนหลักประกอบด้วย 1.ครอบครัวจิราธิวัฒน์ 2.ธนาคารชั้นนำ 3.นักลงทุนสถาบันระดับโลก โดยมีวัตถุประสงค์ลงทุนเพื่อสนับสนุนธุรกิจการท่องเที่ยวในประเทศไทยเป็นหลัก ซึ่งจะมีทั้งการลงทุนในโรงแรม คอนโดมิเนียม สวนสนุก สวนน้ำ และ Mixed-use ที่เกี่ยวข้อง มุ่งเน้นในเมืองท่องเที่ยวหลักของประเทศ ได้แก่ กรุงเทพ ภูเก็ต สมุย และพัทยา โดยคาดว่าจะลงทุนปีละ 3-5 โครงการ
CG จะเป็นคนดูแลเรื่องการลงทุนให้กับนักลงทุน ซึ่งกองทุนดังกล่าวมีความยืดหยุ่นและมีความคล่องตัวในการลงทุน นั่นคือสามารถเลือกรูปแบบการลงทุนในแต่ละโครงการได้ตามความเหมาะสม เนื่องจากบริษัทต้องการเป็นส่วนหนึ่งที่มีส่วนร่วมในการพัฒนาการท่องเที่ยว ในบางกรณีบริษัทจะเข้าไปสนับสนุนทางการเงิน รวมถึงการให้ความรู้ในการพัฒนา เพื่อทำให้ได้รับผลตอบแทนที่ดีที่สุดทั้งนักลงทุนและพันธมิตร
ในปี 67 บริษัทจะเปิดตัวโครงการแรกที่ลงทุน ประกอบด้วย โครงการที่พักอาศัย Branded Residences ภายใต้เครือโรงแรมบูทีคไลฟ์สไตล์ระดับโลกอย่าง Standard International เป็นโรงแรมในเครือ คือ The Standard Residences, Phuket Bang Tao และ The Peri Hotel Phuket Bang Tao ทำเลที่ตั้งย่านเชิงทะเล-บางเทา ในภูเก็ต มูลค่าโครงการมากกว่า 5,000 ล้านบาท จะเปิดตัวภายในเดือน เม.ย.67 และคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จประมาณปี 69 กองทุนแรกมีระยะเวลาการลงทุน 3 ปี แต่ถ้าดูตามความเหมาะสมสามารถที่จะขยายเวลาเพิ่มอีก 1 ปีได้ โดยจะเน้นการลงทุนที่ได้รับผลตอบแทนที่ดีที่สุด โดยให้ความสำคัญกับความเสี่ยงด้วย ตั้งเป้าอัตราผลตอบแทน (IRR) ที่ 18% ต่อปี
บริษัทจะมีการแถลงรายละเอียดของโครงการแรกที่ลงทุนร่วมกับพันธมิตร ในวันที่ 6 ก.พ. 67 นี้
"เราจัดตั้งกองทุนแรกนี้ขึ้นมา เพราะมีความเชื่อมั่นว่าภาคธุรกิจท่องเที่ยวของประเทศไทยยังมีอนาคตที่ดี และเชื่อว่าภายใน 3-5 ปีข้างหน้า นักท่องเที่ยวจะเติบโตต่อเนื่องทั้งด้านปริมาณและคุณภาพ รวมถึงกลุ่ม Expat และ Digital Nomad ที่มองประเทศไทยเป็นจุดหมายอันดับต้น ๆ ของโลก ซึ่งการเข้าไปลงทุนในโครงการต่าง ๆ ที่มีศักยภาพการเติบโตสูง เป็นการช่วยสนับสนุนการพัฒนาของธุรกิจท่องเที่ยวในประเทศไทย และจะส่งผลให้ผู้ลงทุนมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่ดีตามไปด้วยในระยะยาวบนความผันผวนที่ต่ำกว่าการลงทุนในตลาดหุ้น ปัจจุบันการลงทุนในรูปแบบ Private Equity ถือเป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยมจากนักลงทุนสถาบันชั้นนำของโลก เพราะมีความคล่องตัวในการบริหาร มีขั้นตอนและหลักเกณฑ์การลงทุนที่เป็นระบบ และให้การเติบโตทางมูลค่าที่แตกต่าง ทำให้นักลงทุนสถาบันชั้นนำทั่วโลกให้น้ำหนักในพอร์ตกันมากขึ้น" นายสรวิศกล่าว