นายธงชัย บุศราพันธ์ รองประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บมจ.โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ (NOBLE) กล่าวว่า ทิศทางการดำเนินงานของบริษัทในปี 67 มีแนวโน้มการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องเมื่อเทียบกับปี 66 โดยตั้งเป้ารายได้รวม 1.4 หมื่นล้านบาท และยอดขาย 1.8 หมื่นล้านบาท วางแผนเปิดโครงการใหม่ 7 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 1.43 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น แนวราบและคอนโดมิเนียม Low Rise จำนวน 5 โครงการ มูลค่ารวม 6.71 พันล้านบาท และ คอนโดมิเนียมแนวสูง 2 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 7.6 พันล้านบาท กระจายอยู่ทุกทิศของกรุงเทพฯ
ประกอบกับ บริษัทมี Inventory ในมือรวมกว่า 3.44 หมื่นล้านบาท ตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพ จึงเชื่อว่าจะสามารถสร้างผลการดำเนินงานที่เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงโครงการคอนโดมิเนียมที่จะสร้างเสร็จในปี 67 อีก 4 โครงการ ได้แก่ นิว โนเบิล รัชดา-ลาดพร้าว, โนเบิล ฟอร์ม ทองหล่อ, นิว คอนเน็กซ์ คอนโด ดอนเมือง และ นิว คอร์ คูคต สเตชัน ปัจจุบันทั้ง 4 โครงการมียอดขายรวมเฉลี่ยแล้ว 70%
นายธงชัย กล่าวว่า ในปีที่ผ่านมายอดขายกลุ่มลูกค้าต่างชาติอยู่ที่กว่า 5.7 พันล้านบาท ถือเป็นการเติบโตสูงสุดเป็นประวัติการณ์ (All-time high) โดยโครงการที่ได้การตอบรับที่ดีเป็นคอนโดมิเนียม Luxury ทำเลทองหล่อ สุขุมวิท และวิทยุ เช่น โนเบิล ฟอร์ม ทองหล่อ และ โนเบิล สเตท 39 รวมถึง ดิ เอ็มบาสซี ไวร์เลส ซึ่งเป็นโครงการร่วมทุนกับกลุ่ม ฮ่องกง แลนด์ ทำยอดขายต่างชาติเข้ามากว่า 2.2 พันล้านบาทในโครงการเดียว
ปีที่ผ่านมาบริษัทได้ขยายตลาดลูกค้าต่างชาติไปในตลาดใหม่ๆ ให้มีความหลากหลายมากขึ้น เช่น เมียนมา ไต้หวัน สิงคโปร์ และฮ่องกง เป็นต้น และเชื่อว่าในปี 67 กลุ่มลูกค้าจีนจะกลับมามากขึ้น หลังจากเศรษฐกิจของจีนกลับมาดีขึ้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่จะหนุนให้ยอดขายจากลูกค้าต่างชาติของบริษัทเติบโตได้มากยิ่งขึ้น
บริษัทยังคงมุ่งมั่นก้าวสู่ระดับ Top 5 ในฐานะผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ไทย ทำให้บริษัทเร่งเดินหน้าพัฒนาโครงการใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยในปีนี้บริษัทมีแผนซื้อที่ดินเพิ่ม 3 แปลง ประกอบด้วย ทำเลพระราม 9 จะพัฒนาเป็นคอนโดมิเนียมแนวสูง มูลค่าเกือบหมื่นล้านบาท, ทำเลย่านประชาชื่น จะพัฒนาเป็นคอนโดมิเนียม Low Rise และ ทำเลบางนา-ตราด ซึ่งเป็นการร่วมทุนกับกลุ่ม BTS และกลุ่มสหพัฒน์ จะพัฒนาเป็นบ้านเดี่ยว ตอกย้ำถึงความสัมพันธ์ทางธุรกิจที่ยังคงแข็งแกร่งและยังคงมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
สำหรับภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 67 เชื่อว่าน่าจะเป็นปีที่ดีขึ้น ด้วยสภาพเศรษฐกิจฟื้นตัวกลับมา ประกอบกับ รัฐบาลใหม่จะเริ่มเดินหน้าโครงการต่างๆ ได้อย่างเต็มที่เป็นปีแรกก็น่าจะมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาไม่มากก็น้อย อีกทั้งดอกเบี้ยอยู่ในภาวะทรงตัวและมีแนวโน้มลดลง จะทำให้กลุ่มลูกค้าที่เป็นนักลงทุนกลับมาหากจากที่หายไปมาก ขณะที่กลุ่ม Real Demand ยังคงมีอยู่ต่อเนื่อง