บมจ. เอสซีจี แพคเกจจิ้ง (SCGP) สรุปผลการดำเนินงานปี 66 บริษัทมีรายได้จากการขายรวม 129,398 ล้านบาท ลดลง 11% เมื่อเทียบกับปีก่อน สาเหตุหลักมาจากปริมาณและราคาขายที่ลดลง โดยเฉพาะในกลุ่มกระดาษบรรจุภัณฑ์และเยื่อกระดาษ ท่ามกลางความล่าช้าของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระดับโลกและระดับภูมิภาค
EBITDA เท่ากับ 17,769 ล้านบาท ลดลง 8% และมี EBITDA margin อยู่ที่ 14% กำไรสำหรับปีเท่ากับ 5,248 ล้านบาท ลดลง 10% เมื่อเทียบกับปีก่อน และมี Net profit margin อยู่ที่ 4% สาเหตุหลักจากปริมาณและราคาขายที่ลดลงซึ่งเป็นไปในทางเดียวกันกับ รายได้จากการขาย อย่างไรก็ตาม อัตรากำไรโดยรวมยังอยู่ในระดับทรงตัว เนื่องจากความพยายามในการลดต้นทุนอย่างต่อเนื่องและความมุ่งมั่นสู่ความเป็นเลิศในการดำเนินงาน
สำหรับอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ในไตรมาส 4/66 ความต้องการบรรจุภัณฑ์ปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน โดยส่วนใหญ่มาจากการบริโภคในประเทศในกลุ่มอาหาร เครื่องดื่ม และสินค้าอุปโภคในครัวเรือนในช่วงเทศกาลและกิจกรรมการท่องเที่ยวช่วงปลายปี การส่งออกสินค้าบางกลุ่ม เช่น อาหารแช่แข็ง และอาหารสำหรับสัตว์เลี้ยง ยังสามารถดำเนินไปได้ดีในขณะที่อุปสงค์ของบรรจุภัณฑ์ในกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย เช่น สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เสื้อผ้า รองเท้า ยังคงทรงตัว นอกจากนั้นวันหยุดยาวในช่วงปลายปียังส่งผลต่อการดำเนินงานของ ผู้ผลิตที่ลดลงโดยเฉพาะในประเทศไทยและประเทศฟิลิปปินส์
SCGP ระบุว่าช่วงไตรมาส 4/66 บริษัทมีรายได้จากการขายรวม 31,881 ล้านบาท ลดลง 5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เพิ่มขึ้น 1% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน รายได้ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามการลดลงของราคาขายกระดาษบรรจุภัณฑ์ ท่ามกลางการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่เป็นไปอย่างล่าช้าโดยเฉพาะในประเทศจีน นอกจากนั้นภาคการส่งออกของภูมิภาคอาเซียนโดยเฉพาะสินค้าฟุ่มเฟือยยังคงชะลอตัว เนื่องจากการใช้จ่ายหลักของผู้บริโภคได้ถูกจัดสรรให้ค่าใช้จ่ายที่จำเป็น
ขณะที่รายได้เติบโตจากไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากการฟื้นตัวของความต้องการบรรจุภัณฑ์ โดยเฉพาะในกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับผู้บริโภคในช่วงเทศกาลปลายปี การส่งออกของภูมิภาคอาเซียนที่ปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะสินค้าจำพวกอาหาร รวมถึงปริมาณการขายของกระดาษบรรจุภัณฑ์ในประเทศอินโดนีเซียที่มากขึ้น อย่างไรก็ตาม วันหยุดยาวช่วงปลายปียังคงส่งผลกระทบต่อจำนวนวันทำงานที่น้อยลงของภาคธุรกิจด้วยเช่นกัน
ด้าน EBITDA เท่ากับ 4,388 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 4% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน โดยมี EBITDA margin อยู่ที่ 14% กำไรสำหรับงวดเท่ากับ 1,218 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 171% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลง 8% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน และมี Net profit margin อยู่ที่ 4%
กำไรสำหรับงวดเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน มีสาเหตุหลักจากปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้นในทุกกลุ่มธุรกิจ ประกอบกับการขยายกำลังการผลิตในกลุ่มบรรจุภัณฑ์สำหรับผู้บริโภค และการจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพตลอดทั้งห่วงโซ่คุณค่า แต่กำไรลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน เนื่องจากต้นทุนทางการเงิน ค่าเสื่อมราคา และค่าใช้จ่ายทางภาษีที่สูงขึ้น
บริษัทมีโครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการจำนวน 2 โครงการ ประกอบด้วย
- ประเทศไทย (Fiber packaging, สมุทรปราการ และสมุทรสาคร): การขยายกำลังการผลิตบรรจุภัณฑ์กล่องกระดาษลูกฟูก เพื่อรองรับความต้องการบรรจุภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้นในประเทศไทย ด้วยเทคโนโลยีการผลิตและการพิมพ์ที่ทันสมัย เช่น ระบบหุ่นยนต์ (Robotic) ระบบการทำงานอัตโนมัติ (Automation) และแอปพลิเคชันสำหรับการพิมพ์ กำลังการผลิตส่วนเพิ่ม 75,000 ตันต่อปี คิดเป็น 9% ของกำลังการผลิตเดิมในไทย ใช้เงินลงทุนประมาณ 2,450 ล้านบาท ตั้งอยู่ใกล้เคียงกับโรงงานของลูกค้า ทำให้บริษัทสามารถรองรับและตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่เพิ่มขึ้น และช่วยสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันด้านต้นทุนค่าขนส่ง ขณะนี้งานโครงสร้างอาคารแล้วเสร็จ และอยู่ระหว่างดำเนินงานติดตั้งเครื่องจักร คาดว่าจะเริ่มผลิตได้ในไตรมาส 1/67
- ประเทศเวียดนาม (Packaging paper, เวียดนามเหนือ): โครงการขยายการผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์ในตอนเหนือของประเทศเวียดนามภายใต้บริษัท Vina Kraft Paper Co., Ltd. (VKPC) เพื่อรองรับความต้องการของภาคอุตสาหกรรมในประเทศ ภาคการส่งออก และจากนโยบายเปิดรับการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ ส่งผลให้มีบรรษัทข้ามชาติเข้ามาลงทุนทางตอนเหนือของประเทศเป็นจำนวนมาก โครงการนี้มีกำลังการผลิตส่วนเพิ่ม 370,000 ตันต่อปี คิดเป็น 75% ของกำลังการผลิตทั้งหมดในเวียดนาม โดยใช้เงินลงทุนประมาณ 11,793 ล้านบาท การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ได้ดำเนินการเรียบร้อยแล้ว ปัจจุบันอยู่ระหว่างการเตรียมที่ดินและพื้นที่ปฏิบัติงาน อย่างไรก็ตามการลงทุนในโครงการนี้อยู่ระหว่างพิจารณาความเหมาะสมท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ตลาดในภูมิภาค โดยจะตัดสินใจเกี่ยวกับการลงทุนต่อในโครงการนี้ภายในปี 67