นายพิชิต จันทรเสรีกุล กรรมการผู้จัดการ บมจ.กรุงไทยคาร์เร้นท์ แอนด์ ลีส (KCAR) กล่าวว่าบริษัทตั้งเป้าการเติบโตของรายได้ปี 67 ประมาณ 5% จากยอดขายรถมือสองเพิ่มขึ้นเป็น 2,000 คันจากเดิมยอดขายเฉลี่ย 1,000 คันต่อปี ซึ่งมองว่ารายได้จากสัดส่วนธุรกิจขายรถมือสองจะเพิ่มขึ้นประมาณ 45-55%
ขณะที่ผลการดำเนินงานปี 66 คาดกำไรเติบโตสูงกว่าปี 65 มากกว่า 10% และเงินปันผลปีนี้น่าจะเพิ่มขึ้นจากราคาหุ้นที่ย่อตัวลงมาจากภาวะเศรษฐกิจ รวมทั้งผลประกอบการที่ดีขึ้น โดยมีนโยบายปันผล 5-10% ของกำไร
นอกจากนี้บริษัทได้ตั้งงบลงทุนสำหรับปี 67 ที่ 2,000 ล้านบาท ในการซื้อรถยนต์เข้ามาเพิ่มขึ้น ซึ่งในครั้งปีแรกคาดว่าจะใช้งบประมาณ 700-800 ล้านบาท โดยกลยุทธ์ในการดำเนินงานในปีนี้บริษัทจะมุ่งเน้นการขยายฐานลูกค้าโดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าองค์กร รวมทั้งลูกค้ารายกลางที่มีความยืดหยุ่นด้านราคา ขณะที่ในปีนี้บริษัทไม่มีแผนที่จะออกหุ้นกู้อีก โดยจะใช้ทางเลือกอื่นๆ อาทิ การกู้เงินจากสถาบันการเงินซึ่งมีต้นทุนดอกเบี้ยต่ำกว่าหุ้นกู้
สำหรับรถยนต์ EV ลูกค้ามีความสนใจแต่ยังไม่สูงมาก เนื่องจากสถานีชาร์จยังไม่เพียงพอ รวมทั้งระยะทางยังไม่รองรับทางไกล การรับประกันต่าง ๆ ที่ต้องพิจารณา และพฤติกรรมของผู้บริโภคที่อาจเปลี่ยนแปลงในอนาคต ส่งผลให้บริษัทในความระมัดระวังในการขยายเข้าไปยังธุรกิจเช้ารถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีจำนวนรถยนต์ไฟฟ้าในพอร์ตประมาณ 200-300 คัน
ด้านภาพรวมอุตสาหกรรมรถเช่าในปี 67 คาดตลาดจะมีมีการหดตัวจากลุ่มลูกค้าโลจิสติกส์ ที่มีการไปซื้อรถยนต์แทนการเช่าตามการใช้งาน และกลุ่มที่ยังได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตามมีการเติบโตบ้างในกลุ่มลูกค้าที่ธุรกิจดีขึ้นหลังสถานการณ์โควิด ขณะที่คู่แข่งมีจำนวนน้อยลง โดยส่วนใหญ่จะแข่งขันโดยเน้นกลยุทธ์ราคา-ลดต้นทุน ทำให้คุณภาพการให้บริการลดลงด้วย
สำหรับภาพรวมอุตสาหกรรมรถยนต์มือสองมีลักษณะทรงตัว-หดตัวในหลาย ๆ ผู้ประกอบการ จากความเข้มงวดของการให้สินเชื่อจากสถาบันการเงินที่มากขึ้น โดยยอดปฏิเสธสินเชื่อรถยนต์มือสองเพิ่มขึ้นที่ระดับ 40% โดยเฉพาะกลุ่มกระบะที่มียอดปฏิเสธสินเชื่อสูงสุดในกลุ่มมากกว่า 50% ขณะที่ผู้ประกอบการรายใหญ่จากต่างประเทศ ประสบปัญหาขาดทุน ทำให้ลดการบุกตลาดลงอย่างมาก
นอกจากนี้ราคารถยนต์มือสองที่ปรับตัวลงเมื่อปีที่แล้ว โดยลดลงจากปี 65 ประมาณ 30% เนื่องจากช่วงปลายปีมีการจัดงานมหกรรมรถยนต์ซึ่งเป็นการซื้อขายรถใหม่ และคนส่วนใหญ่มองว่ามาตรการรัฐที่สนับสนุน EV 3.0 ใกล้จะหมดเวลาทำให้ยอดจองรถยนต์ไฟฟ้าพุ่งสูงมากเป็นพิเศษ รวมทั้งบริษัทไฟแนนซ์ค่อนข้างรัดกุมมากในช่วงปลายปี ทำให้สถาบันการเงินที่ปล่อยสินเชื่อให้รถมือสอง มีการปล่อยให้รถยนต์ไฟฟ้าด้วย
อย่างไรก็ตามราคารถยนต์มือสองปีนี้คาดปรับตัวเพิ่มขึ้น หลังจากช่วงปลายปีที่ไม่ค่อยมีการขายรถยนต์มือสองทำให้ไม่มีซื้อรถเข้ามาเพิ่มในพอร์ต ซึ่งตอนนี้ได้มีการซื้อเข้ามาราคาก็ดีดขึ้นมาบ้างเล็กน้อย แต่หากดูภาพรวมทั้งปีจะขึ้นอยู่กับซัพพลายรถยนต์ในตลาด โดยคาดว่าราคารถยนต์มือสองปี 68 จะปรับตัวสูงมาก
นายพิชิต กล่าวว่า อยากให้รัฐบาลช่วยผู้ประกอบการมากขึ้น โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายกลาง-รายเล็ก เนื่องจากน่าจะมีความยากในเชิงของการขอสินเชื่อ เพราะว่าปัจจุบันสถาบันการเงินมีความเข้มงวดขึ้นในการปล่อยสินเชื่อ ไม่ว่าจะเป็นสินเชื่อรถยนต์หรือสินเชื่ออื่น ๆ ซึ่งผู้ประกอบการรายใหญ่ไม่มีปัญหาเนื่องจากสามารถหาช่องทางระดมทุนได้หลายทาง แต่รายกลาง-เล็กต้องพึ่งสถาบันการเงินเป็นหลัก ถ้าสถาบันการเงินไม่ได้สนับสนุนผู้ประกอบการก็จะหนักมากขึ้น