นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บมจ.ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น (WHA) เปิดเผยว่า บริษัทจัดสรรงบลงทุนภายใน 5 ปี (ปี 67-71) ที่ 78,700 ล้านบาท เพื่อผลักดันรายได้รวม 5 ปี สู่ระดับ 1 แสนล้านบาท
สำหรับปี 67 บริษัทรายได้รวมเติบโต Double-Digit จากการเติบโตของทุกกลุ่มอุตสาหกรรม พร้อมตั้งงบลงทุนในการซื้อที่ดินเพิ่มสำหรับธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม 8,000 พันล้านบาท โดยบริษัทตั้งเป้ายอดขายที่ดินรวม 2,275 ไร่ แบ่งเป็นที่ดินในเวียดนาม 625 ไร่ และในประเทศไทย 1,650 ไร่
ขณะที่ผลประกอบการปี 66 เติบโตแข็งแกร่งทุบสถิติอีกครั้ง คาดว่ามีรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรปกติ 17,200 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 11% และสามารถรักษาระดับอัตรากำไร EBITDA มากกว่า 40% จากการปิดดีลสัญญาซื้อขายที่ดินรวมทั้งหมด 2,767 ไร่ จากเป้าหมาย 1,750 ไร่ ทะลุเป้าไปกว่า 58% และพื้นที่เช่าโครงการโรงงานและคลังสินค้าสุทธิที่ 242,000 ตร.ม. สูงสุดเป็นประวัติการณ์ การเติบโตของธุรกิจโลจิสติกส์ในปี 67 บริษัทวางเป้าหมายส่งมอบโครงการและสัญญาใหม่เพิ่มขึ้น 200,000 ตร.ม. แบ่งเป็นในไทย 165,000 ตร.ม.และเวียดนาม 35,000 ตร.ม. คาดว่าสินทรัพย์รวมภายใต้กรรมสิทธิ์และการบริหารจะเพิ่มถึงระดับ 3,145,000 ตร.ม. นอกจากนี้ ยังมีแผนการขายสิทธิการเช่าทรัพย์สินให้กับกองทรัสต์ WHART และ WHAIR รวมทั้งสิ้นประมาณ 213,000 ตร.ม. คิดเป็นมูลค่าประมาณ 5,290 ล้านบาท ผลักดันการเติบโตของรายได้รวมเพิ่มขึ้น
กลยุทธ์การเติบโตของธุรกิจโลจิสติกส์ยังคงมุ่งเน้นพัฒนาโครงการ Built-to-Suit และโรงงาน/คลังสินค้าทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ให้ความสำคัญกับการสร้างพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ การเสริมศักยภาพด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี และการส่งเสริมแนวปฏิบัติเพื่อความ ยั่งยืน โดยมีโครงการ Green Logistics ที่พัฒนาขึ้นเพื่อสนับสนุนและเร่งการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในภาคขนส่งของประเทศ ซึ่งกลุ่ม WHA จะให้บริการยานยนต์ไฟฟ้า สถานีชาร์จ และพัฒนาแอพพลิเคชั่นที่นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการบริหารจัดการยานยนต์ไฟฟ้ารวมถึงแบตเตอรี่ ทั้งนี้ ในปี 66 มีลูกค้าเซ็นสัญญาเช่าซื้อยานยนต์ไฟฟ้าแล้ว 25 คัน และตั้งเป้าเซ็นสัญญาเพิ่มอีก 1,000 คันในปีนี้
ธุรกิจสาธารณูปโภค (น้ำ) เติบโตจากปีก่อนหน้า ในปี 66 มีปริมาณยอดขายและบำบัดน้ำเสียในไทยรวม 121 ล้าน ลบ.ม. เติบโต 4% ปริมาณยอดขายน้ำดิบ 32 ล้าน ลบ.ม. ปริมาณจำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำมูลค่าเพิ่ม 6 ล้าน ลบ.ม. ขณะที่ปริมาณยอดขายและบริหารน้ำในเวียดนาม อยู่ที่ 34 ล้าน ลบ.ม.เติบโตขึ้นถึง 18%
ในปี 67 ตั้งเป้ายอดการจำหน่ายและบริหารจัดการน้ำรวมที่ 178 ล้าน ลบ.ม. แบ่งเป็นในประเทศ 142 ล้าน ลบ.ม.และเวียดนาม 36 ล้าน ลบ.เติบโตกว่า 14% จากการขยายการให้บริการน้ำทุกประเภทในโครงการนิคมใหม่ๆ ทั้งของ WHA และนอกนิคมของ WHA รวมถึงความต้องการน้ำของลูกค้าในเวียดนามที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ บริษัทยังคงมุ่งเน้นธุรกิจผลิตภัณฑ์น้ำมูลค่าเพิ่ม โดยมีเป้าหมายอยู่ที่ 10 ล้าน ลบ.ม. รวมถึงเดินหน้าพัฒนา Smart Water Platforn และมองหาโอกาสขยายธุรกิจใหม่ๆ อาทิ โซลูชันสิ่งแวดล้อม และสาธารณูปโภคสำหรับอุตสาหกรรมอื่นๆ
ธุรกิจไฟฟ้า ปี 67 บริษัทจะพัฒนานวัตกรรมและโซลูชันพลังงาน ได้แก่ สถานีชาร์จรถ EV แพลตฟอร์มซื้อขายพลังงานไฟฟ้า (Peer-to-Peer Energy Trading) และการซื้อขายใบรับรองเครดิตการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน (I-REC) รวมทั้งศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนในธุรกิจ New S-Curve เช่น ระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ และเทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture, Utlization and Storage :CCUS) เป็นต้น พร้อมตั้งเป้าเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าสะสมที่ลงนามแล้วเป็น 1,000 เมกะวัตต์ จะมาจากพลังงานหมุนเวียน 453 เมกะวัตต์ เป็นโซลาร์ 283 เมกะวัตต์ และจะขยายสถานีชาร์จรถ EV 100 สถานี
ธุรกิจดิจิทัล ยกระดับองค์กรในทุกมิติเพื่อบรรลุเป้าหมายก้าวสู่การเป็น Technology Company ในปี 67 ภายใต้ภารกิจ "Mission To The Sun" ตั้งแต่โครงการทรานสฟอร์มธุรกิจสู่ดิจิทัลต่างๆ การสร้างผลิตภัณฑ์และมูลค่าเพิ่มใหม่ ๆ เพื่อตอบโจทย์ลูกค้า เสริมศักยภาพของระบบนิเวศทางธุรกิจของ WHA ให้ครบวงจรยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังมุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลสำหรับ Green Logistics โดยอยู่ระหว่างพัฒนาแอปพลิเคชันรวมบริการต่าง ๆ (Super Driver App) สำหรับลูกค้ายานยนต์ EV ภาคธุรกิจ เช่น การบริหารยานพาหนะ (Fleet Management) การวางแผนเส้นทาง (Route Optimization) และการเชื่อมโยงโครงข่ายสถานีอัดประจุยานยนต์ไฟฟ้า (EV Roaming) เป็นต้น
นางสาวจรีพร กล่าวถึงโครงการแลนด์บริดจ์ โดยระบุว่าอยากให้มองภาพใหญ่ของโครงการที่ไม่ใช่เพียงแค่โครงการด้านการขนส่งและโลจิสติกส์ ซึ่งโครงการดังกล่าวจะก่อให้เกิดโอกาสให้การตั้งอุตสาหกรรมอื่นๆ ในพื้นที่ได้ด้วยและจะส่งผลดีต่อประเทศสูง และหากเกิดโครงการแลนด์บริดจ์บริษัทก็พร้อมที่จะนำธุรกิจต่าง ๆ ของบริษัทเข้าไปลงทุน
"ประเทศไทยมีข้อดีหลายเรื่อง โดยพื้นที่ตั้งของเราเป็นพื้นที่ที่สำคัญ ภูมิประเทศของเราเป็นจุด Center ของโลก ทำให้มีการเคลื่อนย้ายฐานการผลิตต่าง ๆ มายังประเทศไทย การที่มันเกิดปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ จึงจำเป็นต้องมี Safe Zone ถ้าตรงนี้มันเกิดแลนด์บริดจ์มันทำให้เกิดอุตสาหกรรมขึ้นมาและส่งออกต่อไปได้ "