นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส เปิดเผยเป้าหมาย SET Index สิ้นปี 67 น่าจะอยู่บริเวณ 1,650-1,670 จุด แนวรับสำคัญที่ 1,350 จุด หากหลุดให้แนวรับถัดไปที่ 1,300 จุด ภายใต้ MEYG ที่ระดับ 3.3% อิง P/E 17.24 เท่า และใช้ EPS67F ที่ 96-97 บาทต่อหุ้น
ตลาดหุ้นไทยถูกกดดันจากการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศ ซึ่งเติบโตน้อยกว่าคาดทำให้เห็นการปรับลดประมาณการณ์ของกำไรบริษัทจดทะเบียนลง รวมทั้งแนวโน้มทิศทางอัตราดอกเบี้ย ซึ่งปกติเวลาดอกเบี้ยลดลง มักจะคาดหวังว่าตลาดหุ้นจะปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เริ่มคงดอกเบี้ยมาตั้งแต่เดือน ก.ค. 66 อาจจะเห็นการปรับลดของอัตราดอกเบี้ยช่วงกลางปี ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยในไทยน่าจะปรับลดลงทิศทางเดียวกับเฟด
ก่อนหน้านี้นักลงทุนคาดหวังว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ประมาณ 6 ครั้ง ขณะที่รายงานการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed Minutes) ระบุว่าจะปรับลง 3 ครั้ง อย่างไรก็ตามมองว่าสุดท้ายอาจจะเห็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ประมาณ 3-4 ครั้ง และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อาจจะปรับลดดอกเบี้ยลง 1-2 ครั้งทิศทางเดียวกับเฟด อย่างไรก็ตามต้องติดตามว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกช่วงไหน
ขณะที่กำไรบริษัทจดทะเบียนปี 67 ฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยประเมิน EPS Growth ที่ราว 12% โดยที่บริษัทใน SET50 มากกว่าครึ่ง สามารถทำกำไรได้สูงกว่าระดับก่อน Covid-19 แล้ว มุมของ Valuation พบว่าค่า PER ณ สิ้นปี 67 อยู่ที่บริเวณ 14 เท่า มีค่า PBV ที่ 1.34 เท่า ถือว่าอยู่ระดับต่ำมากเมื่อเทียบกับอดีต ขณะที่หากพิจารณาระดับ Market Earing Yield Gap (ใช้กำไรคาดการณ์ปี 67) อยู่ที่ 4% ซึ่งถือเป็น Valuation ที่ถูก และเหมาะสมสำหรับการลงทุนระยะยาว
อย่างไรก็ตาม การลงทุนระยะสั้นมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดความผันผวน ซึ่งถูกกดดันจากเม็ดเงินจากนักลงทุนต่างชาติยังไหลออกเรื่อย ๆ อาจจะเกิดจากความไม่มั่นใจในหลายปัจจัย อาทิ ความไม่เป็นเอกภาพของแนวนโยบายการเงิน และนโยบายการคลังของประเทศ, ความกังวลเรื่องตลาดตราสารหนี้ ซึ่งในปี 67 มีหุ้นกู้ที่ครบกำหนดชำระมากถึง 8.9 แสนล้านบาท และมีสัญญาณที่บางส่วนมีความเสี่ยงต่อการชำระคืน
นอกจากนี้ยังมีความกังวลสงสัย ในรูปแบบการซื้อขาย ผ่าน Program Trading และ การทำ Short Sell ในหุ้นที่มีขนาดกลาง-ใหญ่ สภาวะดังกล่าว ทำให้ SET Index มีความผันผวนเพิ่มความเสี่ยงสำหรับการลงทุนในระยะสั้น รวมทั้งนักลงทุนต่างชาติมองว่าตลาดหุ้นอื่น ๆ น่าสนใจมีอัพไซด์ที่ดีกว่าจึงย้ายเงินไปลงทุนในตลาดนั้น ๆ เนื่องจากการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยเติบโตต่ำกว่าเมื่อเทียบกับประเทศในอาเซียน
ดังนั้น กลยุทธ์ที่แนะนำ คือ การลงทุนระยะยาวด้วยการทยอยสะสมหุ้นคุณภาพดี และจ่ายปันผลสม่ำเสมอ เบื้องต้นปัจจุบันมีเทรนด์ที่เกี่ยวข้องกับ ESG มีเรทติ้งตั้งแต่ A ขึ้นไปและกำหนด THEME เน้นกลุ่มปันผล อาทิ AP, SPALI, ADVANC, PTTEP, TTB และหุ้นอ้างอิงกับการท่องเที่ยว AOT, BDMS หลังจากมีการเปิดฟรีวีซ่าไทยจีนถาวรตั้งแต่เดือน มี.ค. เป็นต้นไป
นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บมจ.เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (ASP) และ บล.เอเซีย พลัส และประธานกรรมการ บริษัทที่ปรึกษา เอเซีย พลัส จำกัด กล่าวถึงนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตว่า ข้อดีคือทำให้คนมีความเข้าใจ Digital มากขึ้น แต่ข้อเสียคือเป็นการสร้างหนี้เพิ่มและไม่ถือว่าเป็นการลงทุน เป็นการบรรเทาความเดือดร้อนเพียงชั่วคราวเท่านั้น
"ส่วนตัวไม่ค่อยเห็นด้วย เพราะว่าเวลาลงทุนเพื่อให้ได้ผลตอบแทนระยะยาว ไม่ใช่เพื่อบริโภคระยะสั้น ถ้าจะช่วยระยะสั้นอาจจะต้องคุยกับธนาคารให้ลดดอกเบี้ยสำหรับคนบางกลุ่มหรือพักหนี้ระยะหนึ่ง ให้มีโอกาสฟื้นตัวขึ้นมาได้ ไอเดียที่ผมว่าจะสร้างผลิตภัณฑ์ดีๆในประเทศยังมีอีกเยอะ มีคนที่มีความชำนาญอีกเยอะ"