บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ. ศุภาลัย (SPALI) ที่ระดับ “BBB+" รวมทั้งคงอันดับเครดิตหุ้นกู้มีประกัน (SPLI099A) ของบริษัทที่ระดับ “A-" ด้วยแนวโน้ม “Stable" หรือ “คงที่" โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงประวัติผลงานที่ยาวนานในตลาดที่อยู่อาศัย ตราสินค้าที่ได้รับการยอมรับในตลาดบ้านเดี่ยวและคอนโดมิเนียม และความสามารถในการควบคุมต้นทุนการดำเนินงาน นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงลักษณะที่ผันผวนของธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ในขณะที่อันดับเครดิตของหุ้นกู้นั้นยังคำนึงถึงอัตราส่วนมูลค่าหลักประกันของอาคารสำนักงานให้เช่า “ศุภาลัย แกรนด์ ทาวเวอร์" ต่อมูลค่าหุ้นกู้คงค้างในระดับ 1.7 เท่าตลอดอายุหุ้นกู้ด้วย
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าบริษัทจะสามารถพัฒนาและโอนห้องชุดในโครงการคอนโดมิเนียมได้ตามแผน ทั้งนี้ คาดว่านโยบายการเก็บเงินดาวน์ที่ค่อนข้างต่ำจะทำให้อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทเพิ่มสูงขึ้นในระหว่างการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม อย่างไรก็ตาม แรงกดดันดังกล่าวน่าจะลดทอนลงได้บางส่วนจากมาตรการภาษีของภาครัฐซึ่งคาดว่าจะช่วยให้บริษัทสามารถโอนห้องชุดในโครงการคอนโดมิเนียมได้เพิ่มขึ้น
ทริสเรทติ้งรายงานว่า บริษัทศุภาลัยเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัยชั้นนำของไทยซึ่งก่อตั้งในปี 2532 โดยตระกูลตั้งมติธรรมซึ่งปัจจุบัน ณ เดือนเมษายน 2551 ยังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทในสัดส่วน 25% บริษัทมีโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนา ณ เดือนธันวาคม 2550 จำนวน 35 โครงการ ด้วยมูลค่ายอดขายคงเหลือ 16,942 ล้านบาท จำแนกเป็นโครงการคอนโดมิเนียม 59% และโครงการบ้านจัดสรรประเภทบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์อีก 41% ราคาขายโดยเฉลี่ยของที่อยู่อาศัยของบริษัทในทุกโครงการอยู่ที่ 2.4 ล้านบาทต่อหน่วย ลดลงจาก 2.6 ล้านบาทในปี 2549 ซึ่งสะท้อนถึงกลยุทธ์การเน้นกลุ่มลูกค้ารายได้ปานกลาง ความได้เปรียบในการแข่งขันของบริษัทมาจากการมีตราสินค้าซึ่งเป็นที่ยอมรับในตลาดและความสามารถในการควบคุมต้นทุนในการดำเนินงานซึ่งทำให้บริษัทสามารถเสนอขายที่อยู่อาศัยในโครงการจัดสรรที่กระจายตัวอยู่ในทำเลที่หลากหลายในราคาที่แข่งขันได้
ทริสเรทติ้งกล่าวว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทศุภาลัยในปี 2550 ยังคงอยู่ในระดับที่น่าพอใจ โดยบริษัทมีรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 5,017 ล้านบาทจาก 4,598 ล้านบาทในปี 2549 รายได้ของบริษัทส่วนใหญ่มาจากการขายที่อยู่อาศัยเป็นหลัก ในขณะที่รายได้จากค่าเช่าอาคารสำนักงานยังมีไม่มาก ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทยังคงอยู่ในระดับที่ดีแม้ว่าอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานจะลดลงเป็น 27% ในปี 2550 เมื่อเทียบกับระดับ 31% ในปี 2549 อัตราส่วนผลตอบแทนต่อเงินทุนถาวรในปี 2550 ลดลงเป็น 18% จาก 25% ในปี 2549 ในขณะเดียวกัน บริษัทยังสามารถดำรงอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนให้อยู่ในระดับที่ดีได้แม้จะมีการขยายโครงการเป็นอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมาโดย ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2550 อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทยังคงอยู่ในระดับดีที่ 42%
ภาวะอุปสงค์ในตลาดที่อยู่อาศัยขึ้นอยู่กับแนวโน้มโดยรวมของภาวะเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งนี้ คาดว่าภาวะเศรษฐกิจไทยในปี 2551 น่าจะเติบโตในระดับปานกลางในอัตรา 4.5%-5.5% อย่างไรก็ตาม มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลซึ่งได้แก่การลดอัตราภาษีธุรกิจเฉพาะแก่ผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และการลดค่าธรรมเนียมการโอนสำหรับผู้ซื้อบ้านและผู้ประกอบการน่าจะช่วยบรรเทาภาวะชะลอตัวของอุปสงค์ในตลาดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และกระตุ้นความเชื่อมั่นของผู้บริโภคได้ในระดับหนึ่ง
--อินโฟเควสท์ โดย นิศารัตน์ วิเชียรศรี/รัชดา โทร.0-2253-5050 ต่อ 317 อีเมล์: rachada@infoquest.co.th--