นายสมศักดิ์ ศิริชัยนฤมิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด (APM) ในฐานะที่ปรึกษาการเงินบมจ.แนท แอบโซลูท เทคโนโลยีส์ (NAT) เปิดเผยว่า NAT กำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 92 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ที่ราคาหุ้นละ 5.40 บาท รวมมูลค่าการเสนอขาย 496.80 ล้านบาท ซึ่งจะใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน ระยะเวลาจองซื้อในวันที่ 8-9 และ 12 ก.พ.67 โดยจะเข้าซื้อขายในตลาด เอ็ม เอ ไอ (mai) ในหมวดเทคโนโลยี (TECH) ในวันที่ 15 ก.พ.นี้
บริษัทแต่งตั้ง บล.ฟินันเซีย ไซรัส เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้น IPO พร้อมผู้จัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายอีก 4 แห่ง ได้แก่ บล.เอเซีย พลัส , บล.บียอนด์ , บล.โกลเบล็ก และ บล.กรุงศรี พัฒนสิน
NAT แบ่งการจัดสรรหุ้น ดังนี้
- จำนวน ไม่น้อยกว่า 69,650,000 หุ้น เสนอขายต่อบุคคลตามดุลพินิจของผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์
- จำนวน ไม่เกิน 13,800,000 หุ้น เสนอขายต่อผู้มีอุปการคุณของบริษัท
- จำนวน ไม่เกิน 4,250,000 หุ้น เสนอขายต่อบุคคลที่มีความสัมพันธ์
- จำนวน ไม่เกิน 4,300,000 หุ้น เสนอขายต่อกรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานของบริษัท
NAT มีมูลค่าตามราคาบัญชี (Book value) อยู่ที่ 0.79 บาท/หุ้น คำนวณจากมูลค่าส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัท ณ วันที่ 30 ก.ย.66 ซึ่งเท่ากับ 185.75 ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญปัจจุบันก่อนการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน 236.00 ล้านหุ้น
การกำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO พิจารณาจากอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E Ratio) โดยราคาหุ้นละ 5.40 บาท คิดเป็น P/E เท่ากับ 12.56 เท่า คำนวณจากผลกำไรสุทธิช่วง 4 ไตรมาสย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.65-30 ก.ย.66 ซึ่งมีกำไรสุทธิเท่ากับ 141.29 ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดหลัง IPO ซึ่งเท่ากับ 328.00 ล้านหุ้น (Fully Diluted) จะได้กำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) เท่ากับ 0.43 บาท
นายสุธี อภิชนรัตนกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร NAT กล่าว่า บริษัทเป็นผู้เชี่ยวชาญด้าน Infratech ส่วนงานโครงสร้างระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และการให้บริการด้านเทคโนโลยีครบวงจรแก่องค์กรชั้นนำของประเทศ ภายหลังจากการระดมทุน บริษัทมีแผนนำเงินระดมทุนเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ ขยายบุคลากรเพิ่มเติม รองรับการขยายธุรกิจและการให้บริการ เพื่อเป็นการเพิ่มศักยภาพและโอกาสการเข้ารับงานโครงการทั้งภาครัฐและเอกชนที่เพิ่มขึ้น ทั้งในแง่มูลค่างานและการขยายฐานลูกค้าใหม่ๆ ในอนาคต
ปัจจุบันบริษัทได้มีการศึกษาและประมวลผลการดำเนินงานของระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อเตรียมความพร้อม นำเสนอโซลูชันทางเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์มาตรฐานระดับโลกไปยังองค์กรต่างๆ ตามแผนที่วางไว้ในปีนี้ ประกอบกับภาพรวมอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มเติบโตเป็นอย่างมาก จึงทำให้บริษัทมีความมั่นใจว่าจะสามารถสร้างการเติบโตของรายได้เป็นสถิติสูงสุด ซึ่งจะสามารถทยอยรับรู้รายได้ต่อเนื่อง 3-5 ปี
สำหรับทิศทางผลการดำเนินงานปี 67 ตั้งเป้ารายได้เติบโต 30% โดยการเข้าระดมทุนในครั้งนี้จะสร้างโอกาสในการเติบโตเพิ่มมากขึ้นอีก ขณะที่สัดส่วนลูกค้าปัจจุบันเป็นงานภาครัฐ 85% และเอกชน 15% ซึ่งมีมาร์จิ้นที่ใกล้เคียงกัน และในอนาคตจะขยายงานส่วนเอกชนมากขึ้นเป็น 20% เพื่อกระจายความเสี่ยง โดยงานภาครัฐจะมีโครงการต่อเนื่องทุกปี และโครงการใหม่ซึ่งขึ้นอยู่กับว่าบริษัทจะเข้าไปเสนอ Solution อะไร
ขณะที่ตลาดเทคโนโลยีดิจิทัลปัจจุบันมีมูลค่าสูงขึ้นทุกปี เฉลี่ย 20% ต่อปี ซึ่งบริษัทคาดว่าปี 67 ยังมีโอกาสเติบโต 2 digit เช่นเดียวกัน ซึ่งบริษัทเขื่อว่าจะได้รับอานิสงส์จากการเติบโตของตลาดเช่นเดียวกัน นอกจากนี้ในปี 67 บริษัทอยู่ระหว่างการพูดคุยกับพันธมิตรหลายรายในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีเพื่อแสวงหาความร่วมมือทางธุรกิจ
นายสมภพ กีระสุนทรพงษ์ กรรมการผู้อำนวยการ บล.ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวว่า NAT อยู่ในอุตสาหกรรมที่เติบโตสูง จากความต้องการของภาครัฐและเอกชน ในการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ทั้งระบบประมวลฐานข้อมูลขนาดใหญ่ ระบบการจัดเก็บข้อมูลที่มีคุณภาพ และ ระบบการป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์ รวมถึงการเป็นพันธมิตรทางธุรกิจในระดับสูงสุดกับบริษัทชั้นนำระดับโลก อาทิ Dell Technologies และ Genesys ที่พร้อมให้บริการคุณภาพครอบคลุมทุกความต้องการของลูกค้า
บริษัทยังมีจุดเด่นด้านผลการดำเนินงานที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด ฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง โดยบริษัทไม่มีการกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงิน มีกระแสเงินสดที่ดี และมีความสามารถในการทำกำไรสูงเมื่อเปรียบเทียบกับผู้ประกอบการที่อยู่ในธุรกิจเดียวกัน
นอกจากนี้เพิ่มที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน ทางกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ ได้แก่ นายสุธี อภิชนรัตนกร และนายสหทัศน์ ตรีเมธสุนทร ได้ทำข้อตกลงแบบสมัครใจที่จะไม่จำหน่ายหุ้นในส่วนที่เหลือจากการติด Silent Period ตามข้อบังคับของตลาดหลักทรัพย์เป็นเวลา 6 เดือน นับตั้งแต่วันที่เริ่มซื้อขาย โดยหุ้นที่จะเข้าซื้อขายมีเพียง 92 ล้านหุ้นเท่านั้น