NAT เคาะราคา IPO ที่ 5.40 บาท P/E 12.56 เท่า เปิดจอง 8-12 ก.พ.เทรด mai 15 ก.พ.

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday February 6, 2024 12:00 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

NAT เคาะราคา IPO ที่ 5.40 บาท P/E 12.56 เท่า เปิดจอง 8-12 ก.พ.เทรด mai 15 ก.พ.

นายสมศักดิ์ ศิริชัยนฤมิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด (APM) ในฐานะที่ปรึกษาการเงินบมจ.แนท แอบโซลูท เทคโนโลยีส์ (NAT) เปิดเผยว่า NAT กำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 92 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ที่ราคาหุ้นละ 5.40 บาท รวมมูลค่าการเสนอขาย 496.80 ล้านบาท ซึ่งจะใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน ระยะเวลาจองซื้อในวันที่ 8-9 และ 12 ก.พ.67 โดยจะเข้าซื้อขายในตลาด เอ็ม เอ ไอ (mai) ในหมวดเทคโนโลยี (TECH) ในวันที่ 15 ก.พ.นี้

บริษัทแต่งตั้ง บล.ฟินันเซีย ไซรัส เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้น IPO พร้อมผู้จัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายอีก 4 แห่ง ได้แก่ บล.เอเซีย พลัส , บล.บียอนด์ , บล.โกลเบล็ก และ บล.กรุงศรี พัฒนสิน

NAT แบ่งการจัดสรรหุ้น ดังนี้

  • จำนวน ไม่น้อยกว่า 69,650,000 หุ้น เสนอขายต่อบุคคลตามดุลพินิจของผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์
  • จำนวน ไม่เกิน 13,800,000 หุ้น เสนอขายต่อผู้มีอุปการคุณของบริษัท
  • จำนวน ไม่เกิน 4,250,000 หุ้น เสนอขายต่อบุคคลที่มีความสัมพันธ์
  • จำนวน ไม่เกิน 4,300,000 หุ้น เสนอขายต่อกรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานของบริษัท

NAT มีมูลค่าตามราคาบัญชี (Book value) อยู่ที่ 0.79 บาท/หุ้น คำนวณจากมูลค่าส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัท ณ วันที่ 30 ก.ย.66 ซึ่งเท่ากับ 185.75 ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญปัจจุบันก่อนการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน 236.00 ล้านหุ้น

การกำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO พิจารณาจากอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E Ratio) โดยราคาหุ้นละ 5.40 บาท คิดเป็น P/E เท่ากับ 12.56 เท่า คำนวณจากผลกำไรสุทธิช่วง 4 ไตรมาสย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.65-30 ก.ย.66 ซึ่งมีกำไรสุทธิเท่ากับ 141.29 ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดหลัง IPO ซึ่งเท่ากับ 328.00 ล้านหุ้น (Fully Diluted) จะได้กำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) เท่ากับ 0.43 บาท

นายสุธี อภิชนรัตนกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร NAT กล่าว่า บริษัทเป็นผู้เชี่ยวชาญด้าน Infratech ส่วนงานโครงสร้างระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และการให้บริการด้านเทคโนโลยีครบวงจรแก่องค์กรชั้นนำของประเทศ ภายหลังจากการระดมทุน บริษัทมีแผนนำเงินระดมทุนเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ ขยายบุคลากรเพิ่มเติม รองรับการขยายธุรกิจและการให้บริการ เพื่อเป็นการเพิ่มศักยภาพและโอกาสการเข้ารับงานโครงการทั้งภาครัฐและเอกชนที่เพิ่มขึ้น ทั้งในแง่มูลค่างานและการขยายฐานลูกค้าใหม่ๆ ในอนาคต

ปัจจุบันบริษัทได้มีการศึกษาและประมวลผลการดำเนินงานของระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อเตรียมความพร้อม นำเสนอโซลูชันทางเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์มาตรฐานระดับโลกไปยังองค์กรต่างๆ ตามแผนที่วางไว้ในปีนี้ ประกอบกับภาพรวมอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มเติบโตเป็นอย่างมาก จึงทำให้บริษัทมีความมั่นใจว่าจะสามารถสร้างการเติบโตของรายได้เป็นสถิติสูงสุด ซึ่งจะสามารถทยอยรับรู้รายได้ต่อเนื่อง 3-5 ปี

สำหรับทิศทางผลการดำเนินงานปี 67 ตั้งเป้ารายได้เติบโต 30% โดยการเข้าระดมทุนในครั้งนี้จะสร้างโอกาสในการเติบโตเพิ่มมากขึ้นอีก ขณะที่สัดส่วนลูกค้าปัจจุบันเป็นงานภาครัฐ 85% และเอกชน 15% ซึ่งมีมาร์จิ้นที่ใกล้เคียงกัน และในอนาคตจะขยายงานส่วนเอกชนมากขึ้นเป็น 20% เพื่อกระจายความเสี่ยง โดยงานภาครัฐจะมีโครงการต่อเนื่องทุกปี และโครงการใหม่ซึ่งขึ้นอยู่กับว่าบริษัทจะเข้าไปเสนอ Solution อะไร

ขณะที่ตลาดเทคโนโลยีดิจิทัลปัจจุบันมีมูลค่าสูงขึ้นทุกปี เฉลี่ย 20% ต่อปี ซึ่งบริษัทคาดว่าปี 67 ยังมีโอกาสเติบโต 2 digit เช่นเดียวกัน ซึ่งบริษัทเขื่อว่าจะได้รับอานิสงส์จากการเติบโตของตลาดเช่นเดียวกัน นอกจากนี้ในปี 67 บริษัทอยู่ระหว่างการพูดคุยกับพันธมิตรหลายรายในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีเพื่อแสวงหาความร่วมมือทางธุรกิจ

นายสมภพ กีระสุนทรพงษ์ กรรมการผู้อำนวยการ บล.ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวว่า NAT อยู่ในอุตสาหกรรมที่เติบโตสูง จากความต้องการของภาครัฐและเอกชน ในการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ทั้งระบบประมวลฐานข้อมูลขนาดใหญ่ ระบบการจัดเก็บข้อมูลที่มีคุณภาพ และ ระบบการป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์ รวมถึงการเป็นพันธมิตรทางธุรกิจในระดับสูงสุดกับบริษัทชั้นนำระดับโลก อาทิ Dell Technologies และ Genesys ที่พร้อมให้บริการคุณภาพครอบคลุมทุกความต้องการของลูกค้า

บริษัทยังมีจุดเด่นด้านผลการดำเนินงานที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด ฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง โดยบริษัทไม่มีการกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงิน มีกระแสเงินสดที่ดี และมีความสามารถในการทำกำไรสูงเมื่อเปรียบเทียบกับผู้ประกอบการที่อยู่ในธุรกิจเดียวกัน

นอกจากนี้เพิ่มที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน ทางกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ ได้แก่ นายสุธี อภิชนรัตนกร และนายสหทัศน์ ตรีเมธสุนทร ได้ทำข้อตกลงแบบสมัครใจที่จะไม่จำหน่ายหุ้นในส่วนที่เหลือจากการติด Silent Period ตามข้อบังคับของตลาดหลักทรัพย์เป็นเวลา 6 เดือน นับตั้งแต่วันที่เริ่มซื้อขาย โดยหุ้นที่จะเข้าซื้อขายมีเพียง 92 ล้านหุ้นเท่านั้น


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ