นายตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.จิตตะ เวลธ์ (Jitta) เปิดเผยว่า เทศกาลตรุษจีนปีนี้ถือเป็นจังหวะที่ดีในการเริ่มต้นลงทุนหุ้นคุณภาพดีและราคาที่ยังไม่สูงเกินไป อย่างตลาดหุ้นจีนที่ได้ปรับลดลงมาต่ำสุดในรอบเกือบ 5 ปี ขณะที่ตลาดหุ้นฮ่องกงในเวลานี้ปรับลดลงมาต่ำสุดในรอบเกือบ 15 ปี
ทั้ง 2 ตลาดนี้มีความเกี่ยวพันกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่จะเห็นได้ว่าในช่วงที่ผ่านมาตลาดหุ้นฮ่องกงปรับตัวลดลงมาต่ำกว่าตลาดหุ้นจีนค่อนข้างมาก ทำให้ล่าสุด P/E Ratio ของ HSI (Hang Seng Index) อยู่ที่ 8.46 เท่า เทียบกับ P/E Ratio ของตลาดหุ้นจีนที่ดัชนี SSE (Shianghai Stock Exchange Index) อยู่ที่ 12.83 เท่า (ณ วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2567) ราคาหุ้นที่ปรับลดลงมา ถือเป็นโอกาสที่น่าลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนระยะยาวเป็นอย่างยิ่ง
สำหรับปัจจัยหลักที่ทำให้ตลาดหุ้นจีนปรับลดลงมามาก เกิดจากความกังวลเรื่องภาคอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ทำให้ราคาหุ้นจีนและฮ่องกงปรับลดลงต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็น แต่การล้มละลายของ Evergrande บริษัทอสังหาฯ ยักษ์ใหญ่ของจีนเมื่อต้นปีนี้ทำให้เชื่อได้ว่า เวลานี้เราอยู่ในช่วงปลายของวิกฤติอสังหาฯ จีนแล้ว ประกอบกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ภาครัฐผลักดันออกมา เช่น การปรับลดสัดส่วนการกันสำรองของธนาคารพาณิชย์ (RRR) ลงอีก 0.5% เพื่อเพิ่มเงินในระบบและช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้ตลาดเริ่มมองว่าโอกาสที่ตลาดหุ้นจีนและฮ่องกงจะปรับลดลงคงมีไม่มากแล้ว
"ในจังหวะที่ตลาดปรับลง นักลงทุนอาจจะหวั่นไหว ไม่กล้าลงทุน แต่หากนึกถึงวลีของนักลงทุนระดับโลกอย่าง Warren Buffett ที่ว่า "จงกล้าในยามที่คนอื่นกลัว" จะพบว่าเป็นโอกาสที่น่าลงทุน ซึ่งที่ผ่านมาอัลกอริทึมของ Jitta Ranking ได้พิสูจน์มาแล้วว่า การลงทุนในช่วงหลังวิกฤติ สามารถสร้างผลตอบแทนในระยะยาวได้สูงกว่าตลาดเกือบ 2 เท่า เช่นในปี 2566 หลังผ่านวิกฤติเงินเฟ้อ Jitta Ranking หุ้นสหรัฐฯ สร้างผลตอบแทนโดดเด่นถึง 44.25% เทียบดัชนี S&P500 TRI Return ที่ทำได้ 24.73% พิสูจน์อัลกอริทึมที่ทำงานได้ดี ยิ่งลงทุนช่วงวิกฤติ AI ยิ่งเก็บหุ้นดีราคาถูกได้มาdและฟื้นตัวแรงเมื่อตลาดขาขึ้น เช่นเดียวกับตลาดหุ้นจีนและฮ่องกง มีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้เฉลี่ยปีละ 15% หลังวิกฤติ โดยคาดหวังผลตอบแทนสูงถึง 100% ใน 5 ปีข้างหน้าหรืออาจเร็วกว่านั้น หากเศรษฐกิจฟื้นตัวได้เร็ว"
อย่างไรก็ตาม ในระยะสั้นอาจเห็นภาพตลาดหุ้นจีนและฮ่องกงที่แกว่งตัวและปรับลดลงได้บ้าง แต่เชื่อว่ามาตรการต่างๆ ที่รัฐบาลจีนออกมาจะสนับสนุนการฟื้นตัวของตลาดหุ้นจีนได้ โดยเฉพาะหุ้นฮ่องกงที่จะเห็นภาพที่ชัดเจนกว่า จากราคาหุ้นที่ปรับลดลงไปมากกว่า และความเชื่อมั่นจากนักลงทุนต่างชาติที่มีมากกว่าเนื่องจากฮ่องกงเป็นตลาดเสรีด้านการเงิน มีมาตรฐานบัญชีที่เป็นสากล และเป็นศูนย์กลางทางการเงินอันดับ 4 ของโลก
นายตราวุทธิ์ กล่าวว่า จิตตะ เวลธ์ จึงใช้จังหวะนี้เปิดกองทุนส่วนบุคคล Jitta Ranking ฮ่องกง เพิ่มเติมจากก่อนหน้านี้ที่มี Jitta Ranking จีน และ Jitta Ranking หุ้นเทคโนโลยีจีนที่ลงทุนในตลาดหุ้น SSE และ SZSE อยู่แล้ว เพื่อเป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้นักลงทุนสามารถลงทุนใน ?หุ้นดีราคาถูก? จากตลาดหุ้นจีนได้ครอบคลุมมากขึ้นด้วยเทคโนโลยี AI ที่จะทำหน้าที่วิเคราะห์งบการเงินย้อนหลัง 10 ปี ของหุ้นจากตลาดหุ้นฮ่องกง (HKEX) ที่มีอยู่ถึง 2,411 ตัว และคัดเลือกหุ้น 5-20 อันดับแรกตามหลักการหุ้นเน้นคุณค่าของ Warren Buffett มาบริหารจัดการพอร์ตอัตโนมัติ ลงทุนและปรับพอร์ตทุก 3 เดือน ซึ่งพิสูจน์แล้วว่า ช่วยให้นักลงทุนทำกำไรสูงชนะดัชนีตลาดในระยะยาว โดยผลการพิสูจน์อัตราผลตอบแทนย้อนหลัง 10 ปี (Back Test) ของ Jitta Ranking ฮ่องกง (ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566) สามารถทำได้ถึง 19.68% ต่อปี ในขณะที่ดัชนี HSITR สามารถทำผลตอบแทนได้เพียง 0.57%