นายทวีชัย ตั้งธนทรัพย์ หัวหน้าสายงานวาณิชธนกิจ บล.ทิสโก้ ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน บมจ.นีโอ คอร์ปอเรท (NEO) กล่าวว่า สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้นับหนึ่งยื่นแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (ไฟลิ่ง) ของ NEO แล้ว
NEO จะเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 87.50 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นไม่เกิน 29.17% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดภายหลัง IPO แบ่งเป็น 1) หุ้นเพิ่มทุนเสนอขายโดย NEO ไม่เกิน 78.00 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นไม่เกิน 26% และ 2) หุ้นเดิมเสนอขายโดย บมจ.เอฟเอ็นเอส โฮลดิ้งส์ (FNS) ไม่เกิน 9.50 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นไม่เกิน 3.17%
นายสุทธิเดช ถกลศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร NEO เปิดเผยว่า บริษัทฯ เป็นผู้ทำการตลาด ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคชั้นนำของประเทศ ซึ่งเป็นแบรนด์ชั้นนำของคนไทยที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น ภายใต้แบรนด์ผลิตภัณฑ์ในพอร์ตโฟลิโอที่แข็งแกร่งและคุณภาพเทียบเท่าระดับสากล ด้วยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในตลาดสินค้าอุปโภคมากว่า 34 ปี
บริษัทมีวิสัยทัศน์มุ่งมั่นที่จะเป็นบริษัท FMCG แห่งนวัตกรรมของเอเชีย ที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับผู้บริโภค ผ่านการขับเคลื่อนธุรกิจด้วยการสร้างสรรค์นวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ใหม่ ที่ช่วยดูแลชีวิตประจำวันของทุกคนให้ได้รับความสะดวกสบายและมีคุณภาพชีวิตที่ดี เพื่อช่วยยกระดับความสุขของผู้บริโภคให้ทุกวันดียิ่งขึ้น (Uplift Essentials for Everyday Betterment)
ปัจจุบันบริษัทมีสินค้าอุปโภคครอบคลุมกลุ่มผลิตภัณฑ์หลัก 3 กลุ่ม รวม 8 แบรนด์ ประกอบด้วย
1.กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ในครัวเรือน (Household Products) ประกอบด้วย 3 แบรนด์ ได้แก่ (1) แบรนด์ไฟน์ไลน์ (Fineline) ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ซักผ้า ผลิตภัณฑ์ปรับผ้านุ่ม และผลิตภัณฑ์รีดผ้าเรียบ (2) แบรนด์สมาร์ท (Smart) ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ซักผ้า และผลิตภัณฑ์ปรับผ้านุ่ม สูตรแอนตี้แบคทีเรีย (3) แบรนด์โทมิ (Tomi) เช่น ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดพื้น และผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดห้องน้ำ
2. กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคล (Personal Care Products) ประกอบด้วย 4 แบรนด์ ได้แก่ (1) แบรนด์บีไนซ์ (BeNice) เช่น ผลิตภัณฑ์ครีมอาบน้ำ และผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดจุดซ่อนเร้น (2) แบรนด์ทรอส (TROS) เช่น ผลิตภัณฑ์โคโลญ และผลิตภัณฑ์โรลออนสำหรับผู้ชาย (3) แบรนด์เอเวอร์เซ้นส์ (Eversense) เช่น ผลิตภัณฑ์แป้ง ผลิตภัณฑ์โคโลญ และผลิตภัณฑ์โรลออนสำหรับผู้หญิง และ (4) แบรนด์วีไวต์ (Vivite) เช่น ผลิตภัณฑ์โรลออนสำหรับผู้หญิง
3.กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้สำหรับเด็ก (Baby and Kids Products) แบรนด์ดีนี่ (D-nee) เช่น ผลิตภัณฑ์ซักผ้าเด็ก ผลิตภัณฑ์ปรับผ้านุ่มเด็ก และผลิตภัณฑ์อาบน้ำและสระผมเด็ก เป็นต้น
NEO สร้างสรรค์นวัตกรรมและนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ (New Product Development) ที่มีคุณภาพสอดคล้องความต้องการของผู้บริโภคทุกช่วงวัยและทุกไลฟ์สไตล์ โดยปี 66 บริษัทมีผลิตภัณฑ์ที่ปรับปรุงและออกใหม่จำหน่ายประมาณ 500 รายการ (SKUs) ด้วยทีมวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีความเชี่ยวชาญสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมใหม่ (New Product Development) ปรับปรุงผลิตภัณฑ์เดิมให้มีคุณสมบัติที่ดีขึ้น (Relaunch) ภายใต้ราคาที่แข่งขันได้ ทำให้แบรนด์ผลิตภัณฑ์มีความแข็งแกร่งได้รับความนิยมจากผู้บริโภคอย่างแพร่หลาย และประสบความสำเร็จอย่างสูงในการขยายผลิตภัณฑ์ครอบคลุมจากกลุ่มผู้บริโภคส่วนใหญ่ (Mass Market) ไปสู่กลุ่มพรีเมียมแมส (Premium Mass) และกลุ่มพรีเมียม (Premium) ควบคู่กับการบริหารจัดการภายในองค์กรอย่างเป็นระบบ และการกำหนดกลยุทธ์ที่สอดรับกับตลาด จึงสามารถรักษาศักยภาพการแข่งขันในอุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคที่เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ขณะเดียวกัน บริษัทมีความสัมพันธ์อันดีกับคู่ค้าในทุกช่องทางการจัดจำหน่าย โดยร่วมวางแผนการตลาดและวางกลยุทธ์ส่งเสริมการขายกับช่องทางร้านค้าปลีกสมัยใหม่ (Modern Trade) และคู่ค้าจากร้านค้าแบบดั้งเดิม (Traditional Trade) เพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์ให้กับผู้บริโภคครอบคลุมทั่วประเทศ
และด้วยการวางรากฐานการผลิตผ่านโรงงานที่แข็งแกร่ง โดยลงทุนปรับปรุงและขยายกำลังการผลิตด้วยเทคโนโลยีใหม่ ส่งผลให้มีกำลังการผลิตโดยรวมประมาณ 234,000 ตันต่อปี ในปี 2566 เพิ่มขึ้นร้อยละ 18.03% ต่อปี จากเดิมที่ 142,800 ตันต่อปี ในปี 2563 อีกทั้งมีคลังสินค้าที่มีระบบจัดเก็บสินค้าสำเร็จรูปอัตโนมัติ (ASRS) ที่ทันสมัยช่วยให้บริหารจัดการต้นทุนการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
กลุ่มผลิตภัณฑ์ของ NEO ยังครองความเป็นผู้นำตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 65 ของใช้สำหรับเด็กแบรนด์ ดีนี่ (D-nee) เป็นผู้นำตลาดอันดับ 1 ด้วยส่วนแบ่งทางการตลาด 26% แบรนด์ไฟน์ไลน์ (Fineline) เป็นผู้นำกลุ่มผลิตภัณฑ์รีดเรียบและอัดกลีบผ้า มีส่วนแบ่งทางการตลาด 60% และกลุ่มผลิตภัณฑ์โคโลญสำหรับผู้ชาย แบรนด์ทรอส (TROS) เป็นผู้นำตลาดด้วยส่วนแบ่ง 71%
อีกทั้งบริษัทส่งออกสินค้าไปจำหน่ายยังต่างประเทศ 16 ประเทศ โดยมีตลาดหลัก ได้แก่ เวียดนาม, ลาว, กัมพูชา และเมียนมา เป็นต้น