บมจ.การบินไทย (THAI) ออกโรงยันความจำเป็นจัดหาเครื่องบินลำตัวกว้างพิสัยไกลครั้งใหญ่ถึง 45 ลำจากบริษัท โบอิ้ง และ บริษัท จีอี แอโรสเปซ แม้ว่าจะยังอยู่ระหว่างแก้ไขปัญหาทางธุรกิจเพื่อให้พ้นจากแผนฟื้นฟูกิจการ หลังจากนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.คมนาคม ออกมาแสดงความเป็นห่วงเรื่องความคุ้มค่าในการลงทุน และนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง เตรียมเรียกผู้เกี่ยวข้องมาหารือ
THAI ระบุว่า การจัดหาเครื่องบินในครั้งนี้เพื่อทดแทนเครื่องบินที่มีกำหนดจะปลดระวางและทยอยหมดสัญญาเช่าลงในกรอบระยะเวลาข้างต้น เพื่อรักษาส่วนแบ่งการตลาดที่ลดลงอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะที่สนามบินสุวรรณภูมิลดลงจาก 51.3% ในปี 56 เหลือเพียง 27% ในปี 66 ส่วนหนึ่งด้วยข้อจำกัดด้านฝูงบินทั้งในเชิงปริมาณและประสิทธิภาพของเครื่องบิน
ดังนั้น บริษัทจึงได้ลงนามในสัญญาจัดหาเครื่องบินและเครื่องยนต์ร่วมกับบริษัท โบอิ้ง และ บริษัท จีอี แอโรสเปซ เพื่อจัดหาเครื่องบินแบบลำตัวกว้างพิสัยกลางและไกลพร้อมเครื่องยนต์จำนวน 45 ลำพร้อมสิทธิในการจัดหาเพิ่มเติม (Option Order) อีกจำนวนหนึ่งเพื่อนำเข้าประจำการในฝูงบินของบริษัทตั้งแต่ปี 70-76 ตามแผนเครือข่ายเส้นทางบินที่จัดทำขึ้น
ในปี 66 บริษัทได้ออกเอกสารเชิญยื่นข้อเสนอราคา (RFP) ไปยังบริษัทผู้ผลิตเครื่องบินและเครื่องยนต์ซึ่งเป็นการดำเนินการตามแผนบริหารเครือข่ายเส้นทางบินและฝูงบินระยะยาว เพื่อสร้างความมั่นใจว่าบริษัทจะสามารถรักษาระดับความสามารถในการหารายได้ให้เป็นไปตามเป้าหมายและประมาณการทางการเงินที่จัดทำขึ้น โดยจะเปิดเผยข้อเท็จจริงรายละเอียดเกี่ยวกับแบบเครื่องบินและเครื่องยนต์ในการจัดหาครั้งนี้ร่วมกับผู้ผลิตในงาน Singapore Airshow ระหว่างวันที่ 20-25 ก.พ.
ในอดีตปี 56 บริษัทมีฝูงบินรวมทั้งสิ้น 100 ลำ ต่อมาเมื่ออุตสาหกรรมการบินได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ประกอบกับการที่บริษัทเข้าสู่การฟื้นฟูกิจการ จึงได้ปลดระวางเครื่องบินจำนวนหนึ่งที่มีอายุการใช้งานยาวนาน มีอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงสูง อุปกรณ์อำนวยความสะดวกภายในห้องโดยสารเสื่อมสภาพ มีค่าซ่อมบำรุงที่เพิ่มสูงขึ้นในแต่ละปี มีมูลค่าการลงทุนสูงและไม่คุ้มค่าที่จะปรับปรุงเพื่อคืนสภาพให้สามารถกลับมาปฏิบัติการบิน ส่งผลให้ ณ สิ้นปี 65 บริษัทฯ มีเครื่องบินที่ใช้ในการปฏิบัติการบินเหลือเพียงจำนวน 64 ลำ หรือมีขนาดฝูงบินลดลง 36% เมื่อเปรียบเทียบกับปี 56
ระหว่างปี 65-66 บริษัทได้แก้ไขข้อจำกัดด้านฝูงบิน โดยจัดหาเครื่องบินด้วยวิธีเช่า (Operating Lease) ใสรองรับปริมาณความต้องการเดินทางที่ฟื้นตัวต่อเนื่องอย่างรวดเร็ว เป็นเครื่องบินลำตัวกว้าง 21 ลำ ทยอยรับตั้งแต่ไตรมาส 2/66 ส่วนใหญ่เป็น Airbus 350 ที่ติดตั้งเครื่องยนต์ Rolls-Royce แบบ Trent XWB และจะเริ่มทยอยรับเครื่องบินลำตัวแคบ แอร์บัส 321neo ตั้งแต่ไตรมาส 4/68 เป็นต้นไป ทำให้จำนวนเครื่องบินในฝูงบินเพิ่มขึ้นเป็น 70 ลำในปี 66 ซึ่งจะเพิ่มขึ้นเป็น 79 ลำในปี 67 และ 90 ลำในปี 68 ตามลำดับ
อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาข้อเท็จจริงเรื่องจำนวนเครื่องบินที่อยู่ในแผนปลดระวางและสัญญาเช่าจะทยอยหมดอายุลง ระยะเวลาการผลิตของผู้ผลิต และปริมาณความต้องการเครื่องบินในอุตสาหกรรมที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ หากไม่รับจัดหาฝูงบินระยะยาวในครั้งนี้จะส่งผลให้ในปี 76 ฝูงบินของ THAI จะหดเหลือเพียง 51 ลำ หรือน้อยกว่าปี 56 ถึง 49% ไม่เพียงพอต่อการสร้างรายได้ การรักษาส่วนแบ่งทางตลาด ขีดความสามารถในการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน ตลอดจนความสามารถในการชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ตามแผนฟื้นฟูกิจการ และเมื่อพิจารณาจำนวนเครื่องบินที่จัดหาเพิ่มเติมคราวนี้ 45 ลำ ในปี 76 บริษัทจะเครื่องบินรวมทั้งสิ้น 96 ลำ ซึ่งยังน้อยกว่าในอดีต
ขณะที่บริษัทเตรียมความพร้อมทางการเงินและคาดการณ์สภาพคล่องในอนาคตว่ามีจำนวนเพียงพอต่อการชำระค่าเครื่องบินและเครื่องยนต์ตามกรอบเวลาการจัดหา โดยจะพิจารณาแหล่งเงินทุนและเลือกวิธีการจัดหาเงินทุนที่เหมาะสมอีกครั้ง ขึ้นกับสถานะการเงิน สภาพคล่อง และความคุ้มค่าทางการเงิน ซึ่งจะเปิดกว้างพิจารณารูปแบบการเช่าและเช่าซื้อเครื่องบินในสัดส่วนที่เหมาะสม โดยจะไม่ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้ตามแผนฟื้นฟูกิจการแต่อย่างใด
"ในการจัดหาเครื่องบินครั้งนี้ บริษัทฯ ได้ดำเนินการอย่างรอบคอบและให้ความสำคัญกับความโปร่งใสในกระบวนการ ดำเนินการตรงกับบริษัทผู้ผลิตทุกรายโดยไม่ผ่านตัวแทน อ้างอิงรูปแบบการดำเนินการที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรมการบิน เทียบเคียงสายการบินชั้นนำอื่นๆ ในระดับนานาชาติ มีที่ปรึกษาชั้นนำที่ได้รับการยอมรับในอุตสาหกรรมการบินระหว่างประเทศร่วมพัฒนาแบบจำลองเครือข่ายเส้นทางบิน แบบจำลองและประมาณการทางการเงิน กำหนดรายละเอียดหลักเกณฑ์การคัดเลือกประเมินผลและการเจรจาต่อรองกับผู้ผลิต โดยมุ่งเน้นประโยชน์สูงสุดของบริษัทฯ เป็นสำคัญ ทั้งในด้านต้นทุนดำเนินการในทุกมิติ อาทิ ขีดความสามารถในการแข่งขันด้านประสบการณ์และความพึงพอใจของผู้โดยสาร ได้แก่ ความสามารถในการตอบสนองความต้องการของผู้โดยสารในมิติต่างๆ ได้แก่ ความสะดวกสบาย ที่นั่ง อุปกรณ์อำนวยความสะดวกภายในห้องโดยสาร ฯลฯ ต้นทุนความเป็นเจ้าของหรือค่าเช่า ต้นทุนการซ่อมบำรุง ความสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง ประสิทธิภาพและความน่าเชื่อถือ (Reliability) ในการปฏิบัติการบิน ความสามารถในการสร้างรายได้ให้เป็นไปตามประมาณการทางการเงินภายใต้แผนฟื้นฟูกิจการ อาทิ ปริมาณการผลิต ประสิทธิภาพการจัดการฝูงบินตามแผนเครือข่ายเส้นทางบิน ความสามารถในการแข่งขันด้านราคา ฯลฯ"