บมจ.บุญถาวร รีเทล คอร์ปอเรชั่น (BOON) ยื่นแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และร่างหนังสือชี้ชวน (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) ไม่เกิน 320,000,000 หุ้น คิดเป็นไม่เกิน 25% ของจำนวนหุ้นที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดหลัง IPO และจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) โดยมี บล.บัวหลวง และ บล.กสิกรไทย ร่วมเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
บริษัทมีวัตถุประสงค์การใช้เงินจากการระดมทุนครั้งนี้ เพื่อเป็นเงินทุนในการขยายธุรกิจ, เพื่อชำระคืนเงินกู้ยืมจากธนาคารพาณิชย์ และ เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ
ทั้งนี้ บริษัทเปิดเผยว่า ณ วันที่ 30 ก.ย.66 บริษัทและบริษัทย่อยมีวงเงินเบิกเกินบัญชี วงเงินขายตั๋วสัญญาใช้เงิน วงเงินอาวัลตั๋วสัญญาใช้เงิน วงเงิน Letter of Credit และ Trust Receipt วงเงินกู้ยืมระยะยาว วงเงินเพื่อออกหนังสือค้ำประกัน และวงเงินซื้อขายเงินตราต่างประเทศ กับธนาคารกรุงเทพ 5,553.0 ล้านบาท และ 0.5 ล้านเหรียญสหรัฐ และมียอดเงินกู้คงค้าง 3,181.2 ล้านบาท
ขณะที่มีวงเงินเบิกเกินบัญชี วงเงินขายตั๋วสัญญาใช้เงิน วงเงิน Trust Receipt วงเงินกู้ยืมระยะยาว และวงเงินเพื่อออกหนังสือค้ำประกันกับธนาคารกสิกรไทย 6,102.8 ล้านบาท และมียอดคงค้างจำนวน 3,451.6 ล้านบาท
BOON มีทุนจดทะเบียน 1,280,000,000 บาท คิดเป็น 1,280,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 1.0 บาท บริษัทเป็นผู้ดำเนินธุรกิจค้าปลีกวัสดุและอุปกรณ์ตกแต่งบ้านแบบครบวงจรที่มีศักยภาพเติบโตสูง จากจุดเด่นด้านความหลากหลายของสินค้าและบริการ มีช่องทางจัดจำหน่ายที่ครอบคลุมทั้งหน้าร้านค้าปลีกทั่วทุกภาคของประเทศไทย เวียดนาม และกัมพูชา รวมทั้งการจัดจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์ครอบคลุมแพลตฟอร์มต่างๆ รวมถึงมีกลุ่ม SCG เป็นพาร์ทเนอร์ที่แข็งแกร่ง โดยการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งแก่การดำเนินธุรกิจและแผนงานเติบโตในอนาคต
นายสิทธิศักดิ์ ทยานุวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ BOON กล่าวว่า บริษัทได้เตรียมเดินหน้าเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯเพื่อเสริมศักยภาพและความแข็งแกร่งแก่การดำเนินธุรกิจ โดยกลุ่มบริษัทเป็น "ผู้ดำเนินธุรกิจค้าปลีกวัสดุและอุปกรณ์ตกแต่งบ้านแบบครบวงจร" ณ วันที่ 30 ก.ย. 66 มีร้านค้าปลีกสมัยใหม่รวมทั้งสิ้น 50 สาขา ที่เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ (Strategic Location) และมีโอกาสในการเติบโตในอนาคต
ร้านค้าของบริษัท ประกอบด้วย 1. ร้านค้าปลีกสมัยใหม่ของกลุ่มบริษัทฯ 15 สาขา แบ่งเป็น ร้านบุญถาวรที่เป็นรูปแบบ Stand-alone จำนวน 11 สาขา ในกรุงเทพฯและหัวเมืองใหญ่ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทย มีสินค้าที่หลากหลาย แบ่งแยกเป็นโซนต่าง ๆ และโครงการ Design Village ซึ่งเป็น Community Living Mall จำนวน 4 สาขา ตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล เพื่อรองรับไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนแปลงไป ช่วยยกระดับการบริการของบุญถาวรให้เป็นมากกว่าร้านค้าวัสดุและอุปกรณ์ตกแต่งบ้านที่ผสานจุดเด่นของร้านค้าปลีกและพื้นที่ให้เช่าภายใต้แนวคิด "One Stop Happiness ครบจบในที่เดียว"
ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าหมายขยายสาขาร้านบุญถาวรแบบ Stand-alone ทั้งในกรุงเทพฯและปริมณฑลรวมถึงบริเวณต่างจังหวัด ให้ได้รวม 3-5 สาขาภายในปี 71 และมีแผนเปิดให้บริการ Design Village เพิ่มอีก 1 สาขา โดยเป็นการปรับปรุงจากสาขารัชดา ซึ่งจะเปิดให้บริการภายในปี 67
2. ร้านค้าปลีกสมัยใหม่รูปแบบแฟรนไชส์ที่ร่วมทุนกับ บริษัท เอสซีจี รีเทล โฮลดิ้ง จำกัด (กลุ่ม SCG) ภายใต้ชื่อ "SCG HOME" และ "SCG Home บุญถาวร" จำนวน 35 สาขา กระจายอยู่ในพื้นที่ทุกภาคของประเทศไทย 33 สาขา และต่างประเทศอีก 2 สาขา ได้แก่ เวียดนาม และกัมพูชา
กลุ่มบริษัทได้คัดสรรสินค้าที่มีคุณภาพจากทั้งในและต่างประเทศที่แตกต่างจากผู้ประกอบการรายอื่นๆ ทั้งประเภท ดีไซน์ และคุณภาพที่เจาะกลุ่มลูกค้าทุกระดับและไลฟ์สไตล์ โดยปัจจุบันมีกลุ่มสินค้าที่จำหน่ายใน 5 กลุ่มหลัก ได้แก่ กระเบื้องและวัสดุปิดผิว เครื่องสุขภัณฑ์และอุปกรณ์ห้องน้ำที่เกี่ยวข้อง เครื่องครัว โคมไฟและอุปกรณ์ส่องสว่าง และสินค้าอื่น ๆ เกี่ยวกับบ้านและเฟอร์นิเจอร์ ที่จำหน่ายภายใต้ร้านค้าปลีกของกลุ่มบริษัท กว่า 90,000 SKUs ภายใต้แบรนด์ของกลุ่มบริษัทฯ (Private Brand) ที่กลุ่มบริษัทผลิตเอง และว่าจ้างผู้ผลิตภายนอก และสินค้าภายใต้แบรนด์อื่นๆ (Market Brand) ทำให้สามารถตอบสนองไลฟ์สไตล์การตกแต่งที่อยู่อาศัยอันหลากหลายของผู้บริโภคได้อย่างครอบคลุม ทั้งลูกค้ารายย่อย (B2C) และลูกค้าผู้ประกอบการ (B2B)
นอกจากนี้ ยังมีโรงงานผลิตชุดครัวสั่งทำและตู้ชุดครัวสำเร็จรูปของกลุ่มบริษัทฯ กำลังการผลิตชุดครัวสั่งทำ 425 ยูนิตต่อเดือน และตู้ชุดครัวสำเร็จรูป 7,000 ตู้ต่อเดือน รวมถึงมีศูนย์กระจายสินค้าทั้งหมด 7 อาคารที่มีเทคโนโลยีที่ทันสมัย ใน อ.คลองหลวง จ.ดปทุมธานี เพื่อรับและกระจายสินค้าสู่ร้านค้าปลีกของกลุ่มบริษัททั่วประเทศ สามารถจัดเก็บสินค้าได้มากกว่า 1 แสนตำแหน่ง บนเนื้อที่มากกว่า 90 ไร่
ขณะเดียวกัน ได้พัฒนาช่องทางการจำหน่ายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์จากการเล็งเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการเลือกซื้อสินค้าของผู้บริโภคที่จะมีแนวโน้มที่จะมีการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์เพิ่มมากขึ้น ได้แก่ เว็บไซต์ของกลุ่มบริษัทฯ และแพลตฟอร์มมาร์เก็ตเพลส อาทิ Shopee, Lazada, NocNoc ฯลฯ โดย ณ 30 ก.ย. 66 มีสมาชิก "บุญถาวร แฟมิลี่" มากกว่า 1,000,000 ราย และมีบริการลูกค้าที่เกี่ยวเนื่องแบบครบวงจร ตั้งแต่การจัดส่งสินค้า การออกแบบสามมิติ รวมถึงบริการติดตั้ง และซ่อมแซม เพื่อมอบประสบการณ์การซื้อสินค้าแบบครบวงจร (One-stop Service) ให้แก่ลูกค้าของกลุ่มบริษัทฯ
กลุ่มบริษัทมุ่งสร้างความได้เปรียบเชิงการแข่งขันและการเติบโตอย่างมั่นคง โดยใช้จุดแข็งจากการเป็นหนึ่งในผู้นำธุรกิจค้าปลีกสินค้าวัสดุและอุปกรณ์ตกแต่งบ้านระดับพรีเมียมที่มีส่วนแบ่งการตลาดยอดขายกระเบื้อง 22.11% และส่วนแบ่งการตลาดยอดขายสุขภัณฑ์ 33.51% ของประเทศไทยในปี 65 พร้อมมุ่งเน้นในการขยายสาขาร้านบุญถาวร และปรับปรุงพื้นที่สาขาเชิงกลยุทธ์เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด รวมทั้งนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายและเพิ่มสัดส่วนการขายสินค้าที่มีอัตรากำไรสูง และความสามารถที่จะคว้าโอกาสทางธุรกิจจากแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจและเมกะเทรนด์ที่สำคัญ พร้อมทั้งประสิทธิภาพการบริหารต้นทุนสินค้าและการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มศักยภาพการดำเนินงาน และประสบการณ์ของทีมผู้บริหารมืออาชีพในธุรกิจวัสดุอุปกรณ์และของตกแต่งบ้านแบบครบวงจร
"เรามีประสบการณ์ดำเนินธุรกิจกว่า 40 ปี พร้อมพนักงานและผู้บริหารมืออาชีพ ทำให้สามารถจัดหาสินค้าที่ตรงกับความต้องการของผู้บริโภค เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดแก่ลูกค้าภายใต้แนวคิด Ideas Come Alive และมีวิสัยทัศน์ที่จะเป็น Live Good Ecosystem มุ่งพัฒนาและยกระดับคุณภาพชีวิตผ่านสินค้าและนวัตกรรมการอยู่อาศัยเพื่อโลกที่ดีขึ้นและสังคมที่ยั่งยืน ส่งผลให้เราเป็นหนึ่งในผู้นำ และศูนย์รวมสินค้าวัสดุและอุปกรณ์ตกแต่งบ้านอย่างครบวงจรอันดับต้น ๆ ในใจของลูกค้า โดยมีส่วนแบ่งการตลาดยอดขายกระเบื้อง 22.1% และมีส่วนแบ่งการตลาดยอดขายสุขภัณฑ์ 33.5% ในปี 65 ซึ่งทั้งสองผลิตภัณฑ์เป็นผลิตภัณฑ์ที่สำคัญหลักของกลุ่มบริษัท" นายสิทธิศักดิ์ กล่าว
โครงสร้างผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 30 ก.ย.66 มีครอบครัวทยานุวัฒน์ ถือหุ้นหลักในสัดส่วน 78.5% หลัง IPO จะลดสัดส่วนเหลือ58.9% ครอบครัวดาวพิเศษ ถือหุ้น 9.3% จะลดเหลือ 7% ครอบครัวตรงกมลธรรม ถือหุ้น 2.3% จะลดเหลือ 1.7% และผู้ถือหุ้นอื่น 9.8% จะลดเหลือ 7.4%
ผลประกอบการปี 63-65 บริษัทมีรายได้รวม เท่ากับ 12,447.2 ล้านบาท 11,554.0 ล้านบาท และ 13,048.1 ล้านบาท ตามลำดับ กำไรสุทธิ เท่ากับ 72.39 ล้านบาท 204.41 ล้านบาท และ 404.20 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่งวด 9 เดือนแรกของปี 66 บริษัทมีรายได้รวม 10,338.5 ล้านบาท จากช่วงเดียวกับของปี 65 มีกำไรสุทธิ 9,558.8 ล้านบาท และ กำไรสุทธิ 214 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 158.6 ล้านบาท
บริษัทฯ มีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิจากงบการเงินเฉพาะกิจการของบริษัทฯ ภายหลังจากหักภาษีเงินได้นิติบุคคลและการจัดสรรทุนสำรองต่างๆ ทุกประเภทตามที่ได้กำหนดไว้ในกฎหมายและข้อบังคับของบริษัท