ธนาคารไทยเครดิต (CREDIT) เผยแนวโน้มปี 67 ยังคงรักษาการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยการระดมทุนผ่านการเสนอขายหุ้น IPO ในช่วงที่ผ่านมาจะช่วยเพิ่มศักยภาพในการบริหารงาน เสริมสร้างความแข็งแกร่งของเงินกองทุนของธนาคารฯ เพื่อใช้เป็นเงินทุนสำหรับการขยายพอร์ตสินเชื่อได้ต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าหมายพอร์ตสินเชื่อเติบโตในระดับ 20-30% ต่อปี รวมทั้งมีผลตอบแทนสูง ด้วยโครงสร้างเงินทุนที่ต้นทุนต่ำ
CREDIT แจ้งผลประกอบการปี 66 กำไรสุทธิทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 3,556.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 51.2% ยอดปล่อยสินเชื่อใหม่เพิ่มขึ้น 22,858.5 ล้านบาท หนุนเงินให้สินเชื่อ ณ สิ้นปี 66 อยู่ที่ 144,156.5 ล้านบาท จากการเติบโตในทุกกลุ่มสินเชื่อหลักของธนาคาร โดยเฉพาะสินเชื่อไมโครเอสเอ็มอี สินเชื่อนาโนและไมโครเครดิตเพื่อคนค้าขาย พร้อมกับควบคุมต้นทุน รักษาอัตราส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) อยู่ที่ 8.2% และ ROE สูงขึ้นมาที่ 22.31%
นายวิญญู ไชยวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร CREDIT เปิดเผยผลการดำเนินงานของธนาคาร ณ สิ้นปี 66 มีอัตราการเติบโตของสินเชื่อโดดเด่น ยอดเงินให้สินเชื่อ 144,156.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22,858.5 ล้านบาท หรือ 18.8% จากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยปัจจัยหลักเนื่องมาจากการเติบโตในทุกกลุ่มสินเชื่อหลักของธนาคารฯ ทั้งสินเชื่อธุรกิจไมโครเอสเอ็มอี สินเชื่อนาโนและไมโครเครดิตเพื่อคนค้าขาย และสินเชื่อบ้านแลกเงิน
สอดคล้องกับรายได้ดอกเบี้ยของธนาคารอยู่ที่ 15,894.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25.3% จากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 12,684.7 ล้านบาท สาเหตุหลักมาจากรายได้ดอกเบี้ยจากเงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้ที่เพิ่มขึ้นเท่ากับ 2,904.5 ล้านบาท เนื่องจากปริมาณเงินให้สินเชื่อที่เติบโตเพิ่มขึ้นในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์สินเชื่อหลักของธนาคารฯ
ประกอบกับ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงของธนาคารฯ ควบคู่การมุ่งเน้นบริหารจัดการ ส่งผลให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอื่นๆ ต่อรายได้จากการดำเนินงานของธนาคารฯ ลดลงจาก ณ สิ้นปี 65 ที่ 39.5% มาที่ 36.7% สิ้นปี 66 สาเหตุหลักมาจากประสิทธิภาพการดำเนินงานที่ดีขึ้น จากเครื่องมือที่ธนาคารพัฒนานำมาใช้ในการทำงานให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยจะเห็นได้ว่าธนาคารมีรายได้จากการดำเนินงานต่อสาขา ปริมาณสินเชื่อต่อสาขา และปริมาณเงินฝากต่อสาขาดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ธนาคารมีกำไรสุทธิทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ณ สิ้นปี 66 อยู่ที่ 3,556.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 51.2% เมื่อเทียบกับปีก่อนอยู่ที่ 2,352.5 ล้านบาท โดยอัตราส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ในปี 66 ของธนาคารฯ อยู่ที่ 8.2% ใกล้เคียงปีก่อนที่ 8.4% เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของต้นทุนทางการเงินถัวเฉลี่ยของธนาคารฯ สอดคล้องกับการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ ธปท. และมาตรการลดหย่อนค่าเงินนำส่งกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) สิ้นสุดลงในปี 65 อย่างไรก็ตาม กำไรสุทธิต่อส่วนของเจ้าของในปี 66 (ROE) สูงขึ้นเป็น 22.31% เมื่อเทียบกับปีก่อนอยู่ที่ 18.94%