นายสมพล ธนาดำรงศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ฟอร์จูน พาร์ท อินดัสตรี้ (FPI) เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทจะเดินหน้าเต็มกำลังเพื่อขยายธุรกิจในต่างประเทศ หลังจากเศรษฐกิจโลกกลับมาฟื้นตัว และอุตสาหกรรมยานยนต์กลับมาเติบโตได้ โดยบริษัทจะใช้เงินลงทุนราว 600 ล้านบาท ซึ่งสูงสุดตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท เพื่อสร้างศูนย์กลางการส่งออก (Export hub) แห่งใหม่ในประเทศซาอุดีอาระเบีย
Hub ดังกล่าวจะประกอบด้วย โรงงานผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ และศูนย์กระจายสินค้า (Distribution Hub) วงเงินลงทุน 200-300 ล้านบาท ซึ่งบริษัทได้เซ็นสัญญาร่วมทุนกับ FUEL AUTOPARTS ผู้จัดจำหน่ายอะไหล่ชิ้นส่วนยานยนต์รายใหญ่เพื่อจัดตั้งบริษัทร่วมทุนดำเนินธุรกิจเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายชิ้นส่วนยานยนต์ คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ในวันที่ 1 เม.ย.นี้ และจะแล้วเสร็จเริ่มเดินเครื่องผลิตได้ในไตรมาส 4/67 ทำให้บริษัทจะเริ่มรับรู้รายได้ตั้งแต่ปี 68 เป็นต้นไป คาดหวังจะถึงจุดคุ้มทุนได้เร็วภายใน 1 ปีเท่านั้น
การขยายฐานการผลิตแห่งนี้เป็นการช่วยประหยัดต้นทุนค่าขนส่ง และภาษี ในการส่งสินค้าไปยังตลาดตะวันออกกลาง ยุโรป และแอฟริกาเหนือ ท่ามกลางปัญหาความขัดแย้งในตะวันออกกลาง และทะเลแดงที่ทำให้ต้นทุนค่าขนส่งเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งมองว่าปัญหาในโซนนี้คงไม่ยุติลงง่ายๆ อีกทั้งบริษัทยังมองเป็นโอกาสเข้าไปรับจ้างผลิต (OEM) ให้กับไลน์การผลิตรถยนต์โมเดลใหม่ๆ โดยเฉพาะค่ายรถจีนและเกาหลี ซึ่งจะมีความแตกต่างกับไลน์ผลิตในไทยและอินเดีย และปัจจุบันตลาดซาอุดีอาระเบียถือเป็นตลาดส่งออก 1 ใน 3 ของ FPI หรือคิดเป็นสัดส่วนยอดขายประมาณ 1,000 ล้านบาท
"เรามองว่าตลาดซาอุดีอาระเบียเป็นตลาดที่มีการเติบโตอย่างมาก แต่ที่ผ่านมาประสบปัญหาเรื่องโรคระบาดโควิด-19 และค่าระวางเรือที่สูง ส่งผลกระทบให้การส่งออกไปยังตลาดแอฟริกาเหนือไปไม่ค่อยได้ เพราะว่าต้นทุนสูงมาก ต่อไปหากเรามีฐานการผลิตที่ตรงนี้ ก็จะเป็น Spring board ในการส่งออก รวมถึงใช้ฐานที่ซาอุดีฯ เป็นโรงงาน บวกด้วย Distribution Hub ด้วย เพื่อรองรับสินค้าจากไทย อินเดีย จีน เพื่อใช้ฐานดังกล่าวในการส่งออก" นายสมพล กล่าว
เมื่อฐานการผลิตแห่งนี้สร้างความแข็งแกร่งให้กับบริษัทในโซนตะวันออกลางและแอฟริกาแล้ว บริษัทยังมองโอกาสขยายฐานการผลิตแห่งที่ 5 ในทวีปยุโรป เบื้องต้นมีความสนใจทำเลที่ตั้งในยุโรปตะวันออก ผ่านการจับมือกับพันธมิตรในอิตาลี พร้อมกันนั้น บริษัทยังอยู่ระหว่างการเจรจาร่วมลงทุน (JV) พันธมิตรธุรกิจแม่พิมพ์ในอินเดียและจีน เพื่อก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่ โดยหวังจะต่อยอดไปสู่ฐานการผลิตในประเทศเม็กซิโก เพื่อบุกตลาดทวีปอเมริกา ซึ่งจะเป็นฐานสำคัญในการทำตลาดในสหรัฐและแคนาดาด้วย โดยเฉพาะสินค้าประเภทแม่พิมพ์
ส่วนฐานธุรกิจในอินเดียปีนี้จะใช้งบลงทุนราว 100 ล้านบาท สร้างโรงงานใหม่ แม่พิมพ์ และ Thermoforming เพื่อรองรับการผลิตสินค้าใหม่ ซึ่งจะมาสร้างการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ และในประเทศไทยก็จะใช้งบลงทุนราว 200-300 ล้านบาท
นายสมพล กล่าวว่า ผลการดำเนินงานในปีนี้บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 67 จะฟื้นขึ้นมาเติบโตราว 10% หรือแตะ 3,000 ล้านบาท หลังจากปีที่ผ่านมาคาดว่ารายได้จะทรงตัวจากปีก่อนหน้า โดยสัดส่วนรายได้หลักยังคงมาจากการดำเนินธุรกิจในประเทศไทยที่เติบโตได้ดีขึ้นตามภาพรวมอุตสาหกรรมยานยนต์ทั้งรถสันดาปและรถยนต์ไฟฟ้า
ขณะที่คาดว่าสัดส่วนรายได้จากอินเดียจะเพิ่มเป็น 15% จากเดิม 10% กลับมาเทิร์นอะราวด์จากปีที่ผ่านมาติดลบเพราะได้ได้พันธมิตรไม่ดี แต่ตอนนี้ปัญหาผ่านพ้นไปแล้วโดยคาดว่ารายได้ในอินเดียปีนี้จะเติบโตสูงถึง 50-70% หรือคิดเป็น 800 ล้านรูปี จากปีก่อนทำได้ 350-400 ล้านรูปี เป็นไปตามยอด OEM ที่เข้ามาเพิ่มขึ้น ทั้งของลูกค้า Toyota India และ Maruti Suzuki รวมไปถึงลูกค้าค่ายรถแบรนด์ดังอื่นๆ เพิ่มเติม โดยปัจจุบัน FPI มีกำลังการผลิตในประเทศอินเดียอยู่ราว 1.5 แสนชิ้น/เดือน