นายกำพล อดิเรกสมบัติ ผู้อำนวยการอาวุโส และหัวหน้าทีม SCB Chief Investment Office (SCB CIO) ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า ในปี 67 เศรษฐกิจเวียดนามมีแนวโน้มขยายตัวด้วยแรงหนุนจากภาคส่งออก และเงินลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ (FDI) ที่ดีต่อเนื่อง โดยรัฐบาลเวียดนามตั้งเป้าหมาย GDP ขยายตัว 6-6.5% และเป้าหมายอัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 4-4.5%
SCB CIO มองว่า เศรษฐกิจเวียดนามในปีนี้มีแนวโน้มได้รับอานิสงส์จาก 3 ปัจจัย ได้แก่ 1. การฟื้นตัวของภาคการส่งออก 2. การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่ทางการเวียดนามมีแนวโน้มออกมาตรการช่วยเหลือบริษัทต่างๆ หลังการบังคับใช้ Global Minimum Tax (GMT) หรืออัตราภาษีขั้นต่ำสำหรับรายได้นิติบุคคล ทำให้บริษัทต่างชาติเริ่มคลายความกังวลและ 3) การบริโภคในประเทศที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น และยังมีมาตรการผ่อนคลายทางการเงินและการคลัง เป็นแรงสนับสนุนสำคัญส่งเสริมเศรษฐกิจเวียดนามให้เติบโตอย่างต่อเนื่องด้วย
สำหรับภาคอสังหาริมทรัพย์ของเวียดนามมีแนวโน้มฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป เพียงแต่ยังมีความเสี่ยงการผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้อยู่ โดยภายหลังภาครัฐออกมาตรการช่วยเหลือต่างๆ รวมถึงการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และการผ่อนผันการนัดชำระหนี้หุ้นกู้ภาคอสังหาฯ ออกไป 2 ปี ทำให้ SCB CIO มองว่ากิจกรรมบนภาคอสังหาริทรัพย์ของเวียดนามมีแนวโน้มผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ขณะที่สภานิติบัญญัติเวียดนาม ผ่านร่างกฎหมาย Land law เมื่อวันที่ 18 ม.ค. 67 เร็วกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ช่วงเดือน มิ.ย. 67 และจะมีผลบังคับใช้ภายในวันที่ 1 ม.ค.68 จะทำให้ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์สามารถตกลงราคาซื้อขายที่ดินกับเจ้าของที่ดินได้โดยตรง ไม่ต้องให้ทางการเป็นผู้กำหนดค่าตอบแทน ช่วยหนุนให้บรรยากาศภาคอสังหาฯ เวียดนามมีพัฒนาการที่ดีในระยะต่อไป
ส่วนกลุ่มธนาคารในเวียดนามมีแนวโน้มได้อานิสงส์จากเศรษฐกิจที่กลับสู่ขาขึ้น โดยธนาคารกลางเวียดนาม (SBV) ตั้งเป้าหมายสินเชื่อปีนี้เติบโต 15% แสดงถึงความเชื่อมั่นต่อแนวโน้มเศรษฐกิจ ถึงแม้ว่าสัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) จะอยู่ในระดับสูง แต่การก่อตัวของ stage 2 loan (สินเชื่อที่แสดงสัญญาณเบื้องต้นของความอ่อนแอในการชำระหนี้ แต่ยังไม่ถือว่าเป็น NPL) มีแนวโน้มผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว ส่งผลให้การตั้งสำรองระยะต่อไปมีแนวโน้มลดลง และช่วยหนุนผลประกอบการธนาคารระยะต่อไป
SCB CIO ได้ปรับมุมมองตลาดหุ้นเวียดนาม จาก Neutral สู่ Slightly Positive เนื่องจากแนวโน้มกำไรบริษัทจดทะเบียนที่ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และมีโอกาสปรับเพิ่มขึ้น ตามการส่งออกที่คาดว่าจะฟื้นตัว FDI ที่มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ภาคอสังหาริมทรัพย์ มีแนวโน้มฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป อีกทั้งรัฐบาลผ่านร่างกฎหมาย Land law เอื้ออำนวยให้สภาพคล่องกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ปรับตัวดีขึ้น ส่วนธุรกิจธนาคารมีแนวโน้มได้รับอานิสงส์จากเศรษฐกิจที่กลับสู่ขาขึ้น
ขณะที่ Valuation ตลาดหุ้นเวียดนามอยู่ในระดับที่น่าสนใจ โดยมี Price to earning multiple (P/E) หรือราคาต่อกำไรต่อหุ้น ซื้อขายอยู่ที่ 10.1x ซึ่งเป็นระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี อยู่ที่ประมาณ -1 s.d. และตลาดหุ้นเวียดนามยังมีโอกาสถูกยกระดับเป็นตลาดเกิดใหม่ และมีแนวโน้มถูกดึงเข้าไปคำนวณบนดัชนี FTSE โดยหากสามารถยกเลิกระบบ pre-funding ที่บังคับให้นักลงทุนต่างชาติมีเงินสด 100% ของมูลค่าการซื้อขายในพอร์ต 1 วันก่อนการทำธุรกรรมสำเร็จ จะเพิ่มโอกาสในการถูกดึงเข้าไปคำนวณบน ดัชนี FTSE Emerging Market ได้ภายในปี 67 ด้วย
SCB CIO แนะนำให้ลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามผ่านกองทุนที่มีกลยุทธ์ Bottom-Up และรักษาสัดส่วนการลงทุนในพอร์ตภายใต้เงื่อนไขตลาดหุ้นเวียดนามยังเป็น frontier market (ตลาดหุ้นชายขอบ หรือตลาดหุ้นของประเทศที่เพิ่งจะพัฒนา) ที่มีความผันผวนได้สูง โดยการลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามควรจัดอยู่ในการลงทุนบน Opportunistic Portfolio ซึ่งเป็นพอร์ตส่วนเพิ่มเติมและเป็นการลงทุนตามสถานการณ์
"Opportunistic Portfolio คิดเป็น 20-40% ของพอร์ตทั้งหมด เนื่องจากการลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามมีความผันผวนสูง เราจึงแนะนำลงทุนในสัดส่วนตามระดับความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนยอมรับได้ ในกรณีที่เกิดผลลบไม่เป็นไปตามคาดหวังก็จะไม่ส่งผลกระทบมาก ต่อ Core Portfolio ซึ่งเป็นพอร์ตลงทุนแกนกลาง สำหรับการลงทุนระยะยาว" นายกำพล กล่าว