นายพงศ์นรินทร์ วนสุวรรณกุล ประธานกรรมการบริหารและกรรมการ บมจ.ท่าฉาง กรีน เอ็นเนอร์ยี่ (TGE) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ได้มีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายสืบตระกูล บินเทพ ผู้อำนวยการฝ่ายวางแผนกลยุทธ์และพัฒนาธุรกิจ ขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2567
สำหรับปี 2567 กลุ่มบริษัท TGE คาดว่าจะได้รับสัมปทานเพิ่มเติม ซึ่งจะส่งผลให้มีกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งโดยรวมกว่า 96 เมกะวัตต์ ตลอดจนมีแผนรุกเข้าสู่ธุรกิจเกี่ยวเนื่องที่กลุ่มบริษัทฯมีความเชี่ยวชาญ พร้อมทั้งจะนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้า และรุกตลาดคาร์บอนเครดิตเพื่อตอบสนองแนวโน้มในอนาคตที่จะมีความต้องการคาร์บอนเครดิตมากขึ้น รวมถึงเดินหน้าเจรจากับพันธมิตรทางธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ
"กลุ่มบริษัท TGE ตั้งเป้าหมายก้าวสู่การเป็นผู้นำธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าประเภทชีวมวลและขยะชุมชนของไทย โดยคาดว่าภายในปี 2575 จะมีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวม 200 เมกะวัตต์ จากปัจจุบันมีกำลังการผลิตติดตั้งและได้รับสัมปทานรวม 76.6 เมกะวัตต์ ขณะเดียวกันได้เริ่มบริหารจัดการโรงไฟฟ้าจากก๊าซชีวภาพ ซึ่งจะทำให้มีรายได้เข้ามาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งมีแผนเจรจากับพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศเพื่อเข้าลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องโดยเน้นด้านพลังงานสะอาด และสามารถช่วยต่อยอดธุรกิจ สนับสนุนอนาคตให้มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด" นายพงศ์นรินทร์ กล่าว
สำหรับภาพรวมผลการดำเนินงานปี 66 บริษัทฯมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 240 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.9% จากงวดเดียวกันในปีก่อน ซึ่งมีจำนวน 216.4 ล้านบาท ส่วนรายได้จากการดำเนินงานในปีนี้อยู่ที่ 911.2 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนที่มีรายได้จากการดำเนินงานอยู่ที่ 938.1 ล้านบาท
กำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้นมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ค่าไฟฟ้า ต้นทุนค่าวัตถุดิบที่ลดลงจากการบริหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงรายการเกี่ยวกับเงินชดเชยจากค่าประกันภัย ส่วนรายได้รวมลดลงเล็กน้อยเกิดจากการปิดซ่อมบำรุงตามแผนการดำเนินงานของโรงไฟฟ้า TBP และการลดลงของรายได้ค่าก่อสร้างภายใต้ข้อตกลงสัมปทานของโรงไฟฟ้าขยะมูลฝอย ซึ่งมีเงื่อนไขสำคัญ คือ มีการโอนสินทรัพย์ให้แก่หน่วยงานราชการส่วนท้องถิ่นเมื่อครบกำหนดตามสัญญากำจัดขยะมูลฝอย (BOOT)
ขณะเดียวกัน ปี 66 บริษัทฯ มีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 33.9% เพิ่มขึ้นจาก 33.3% ในปีก่อน โดยมีผลจากการเติบโตของรายได้จากการขายไฟฟ้า ซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นสูงกว่ารายได้ประเภทอื่น โดยมีสัดส่วนรายได้จากการขายไฟฟ้าต่อยอดรายได้รวม คิดเป็น 93.8% เพิ่มขึ้นจากอัตรา 86.7% ของปีก่อน ส่วนอัตรากำไรสุทธิปี 66 อยู่ที่ 26.3% เพิ่มขึ้นจาก 23.1% ในปีก่อน โดยมีปัจจัยหลักจากการเติบโตของรายได้จากการขายไฟฟ้า ซึ่งมีอัตรากำไรสูงกว่ารายได้ประเภทอื่น ประกอบกับการบริหารการจัดซื้อวัตถุดิบที่มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ต้นทุนวัตถุดิบปรับลดลง และรายได้ชดเชยจากประกันภัยดังกล่าวข้างต้น