บมจ.ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU) รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 4/66 ด้วยยอดขาย 35,529 ล้านบาท เติบโต 4.8% จากไตรมาสก่อนหน้า เป็นผลจากการฟื้นตัวของกลุ่มธุรกิจอาหารแช่แข็งและธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง และมีกำไรสุทธิจากผลการดำเนินงานปกติที่ 1,243 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.1% จากไตรมาสก่อน ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นจากผลการดำเนินงานปกติแข็งแกร่งถึง 17.8% ขณะที่บริษัทสามารถสร้างกระแสเงินสดได้ถึง 2,842 ล้านบาท และยังมีระดับหนี้ต่ำโดยมีอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนอยู่ที่ 0.78 เท่า สะท้อนถึงการเติบโตที่มั่นคงและรับมือกับปัจจัยเสี่ยงภายนอกได้อย่างแข็งแกร่ง
ภาพรวมผลประกอบการปี 66 มียอดขาย 136,153 ล้านบาท ลดลง 12.5% เมื่อเทียบกับปีก่อนที่มีอัตราการเติบโตสูงเป็นประวัติการณ์เนื่องจากการขนส่งทั่วโลกที่กลับสู่ภาวะปกติทำให้ลูกค้าไม่มีความจำเป็นต้องกักตุนสินค้า ขณะที่อัตรากำไรสุทธิจากผลการดำเนินงานปกติ อยู่ที่ 4,499 ล้านบาท ลดลง 37.0%
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีการบันทึกรายการด้อยค่าที่ไม่ใช่เงินสดครั้งเดียวในไตรมาส 4 มูลค่า 18,433 ล้านบาท (527 ล้านดอลลาร์) จากแผนถอนการลงทุนส่วนน้อยใน เรด ล็อบสเตอร์ อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ได้รับการอนุมัติจากผู้ถือหุ้นกู้อย่างเป็นเอกฉันท์เรื่องการขออนุมัติผ่อนผันหลักเกณฑ์การคำนวณอัตราส่วนความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ยและเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นของ TU ในปี 2566 ตามที่บริษัทฯ เสนอขอให้ไม่นับรวมรายการผลขาดทุนจากการด้อยค่าตามหลักการทางบัญชีจากแผนดังกล่าว เพราะเมื่อพิจารณาตัวเลขการหักรายการผลขาดทุนจากการด้อยค่าตามหลักการทางบัญชีแล้วไม่มีผลกระทบต่อกระแสเงินสด และความสามารถในการชำระหนี้ของบริษัทฯ ประกอบกับทริสเรทติ้งยังคงอันดับเครดิตและแนวโน้มอันดับเครดิตบริษัทฯ ในระดับ A+
นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TU กล่าวว่า ผลประกอบการในไตรมาส 4 กลุ่มธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งและแช่เยือกแข็ง มียอดขายอยู่ที่ 12,525 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% จากไตรมาสก่อน ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 14.4% เป็นผลจากกลยุทธ์การบริหารจัดการขนาดองค์กรที่ประเทศสหรัฐฯ และการบริหารจัดการระบบสินค้าคงคลังที่ดีขึ้น
ขณะที่กลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง มีอัตราเติบโต 22.5 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากการฟื้นตัวของคำสั่งซื้อจากกลุ่มลูกค้าหลัก และระดับสินค้าคงคลังที่กลับสู่ภาวะปกติ รวมถึงการนำกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นตลาดเฉพาะกลุ่มประเภทอาหารสัตว์เลี้ยงชนิดเปียกและขนมสำหรับสัตว์เลี้ยง โดยในไตรมาส 4 ไทยยูเนี่ยนยังมีกระแสเงินสดอิสระเป็นบวก มูลค่าถึง 2,842 ล้านบาทมาจากความสามารถในการทำกำไร (EBITDA) ที่แข็งแกร่ง ประกอบการมีการบริหารจัดการเงินทุนหมุนเวียนที่มีประสิทธิภาพ
"ปีที่ผ่านมานับเป็นปีแห่งความท้าทายจากการปรับขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ ที่กดดันตลาดที่ไทยยูเนี่ยนดำเนินธุรกิจอยู่ ซึ่งมีผลต่อเนื่องไปถึงค่าครองชีพและกำลังซื้อของผู้บริโภค อย่างไรก็ตาม แม้ภาพรวมธุรกิจจะยังคงอยู่ในภาวะที่ยากลำบาก แต่ไทยยูเนี่ยนก็สามารถรับมือและปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว ช่วยให้ในไตรมาสสุดท้ายของปียังสามารถทำกำไรได้ดีในทุกกลุ่มธุรกิจ" นายธีรพงศ์ กล่าวว่า
สำหรับสัดส่วนยอดขายแบ่งเป็นรายกลุ่มธุรกิจ ประจำปี 66 ประกอบด้วย กลุ่มอาหารกระป๋อง 47% ตามมาด้วยกลุ่มธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งและแช่เยือกแข็ง 35% กลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยง 11% และกลุ่มสินค้ามูลค่าเพิ่มและธุรกิจอื่น ๆ 7% และเมื่อพิจารณาสัดส่วนยอดขายตามภูมิภาค แบ่งเป็น สหรัฐอเมริกาและแคนาดา 41% ยุโรป 30% ไทย 11% และอื่น ๆ 18%
"แม้ว่าปีนี้จะมีความท้าทายจากปัจจัยภายนอกอย่างต่อเนื่อง แต่เรามั่นใจว่าการวางกลยุทธ์องค์กรเพื่อมุ่งสู่ปี 2573 ที่ยังคงให้ความสำคัญกับธุรกิจหลักของไทยยูเนี่ยน เช่น กลุ่มอาหารกระป๋อง, กลุ่มอาหารทะเลแช่แข็งและแช่เยือกแข็ง และกลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยง จะช่วยขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโต" นายธีรพงศ์ กล่าว