นายชูเดช คงสุนทร กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บมจ.ไวส์ โลจิสติกส์ (WICE) เปิดเผยแผนธุรกิจปี 2567 ว่า บริษัทตั้งเป้าการเติบโตไม่น้อยกว่า 20% จากปีก่อน โดยมองว่าอัตราค่าระวางเรือและอากาศจะมีการปรับตัวขึ้น พร้อมกับปริมาณการขนส่งทั้งนำเข้าและส่งออกจะมีเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน บริษัทเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าอย่างสหรัฐอเมริกาและประเทศจีนจะกลับมาฟื้นตัว จากนโยบายและแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งภาคเอกชนและการบริโภคภายในประเทศ รวมถึงภาคการลงทุน จนส่งผลให้ภาพรวมของธุรกิจโลจิสติกส์ดีขึ้นไปด้วย นอกจากนี้บริษัทเน้นกลยุทธ์ wallet share และเครือข่ายโลจิสติกส์แบบครบวงจรที่จะช่วยเพิ่มฐานลูกค้า ตลอดจนการสร้างโซลูชั่นการบริการให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าควบคู่ไปด้วยกัน
ขณะที่บริษัทคาดว่าได้เริ่มรับรู้รายได้จากโครงการต่างๆ ที่เริ่มลงทุนไปในปีที่แล้ว เช่นโครงการ Green Logistics Hub ที่ร่วมมือกับพันธมิตร ในการพัฒนาพื้นที่เพื่อให้เป็นศูนย์กลางการบริหารจัดการโลจิสติกส์ ที่ให้ความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อม รวมถึงโครงการการให้บริการขนส่งสินค้าแบบตู้ควบคุมอุณหภูมิ ซึ่งเริ่มให้บริการแบบเต็มกำลังตั้งแต่ช่วงปลายไตรมาส 2และบริษัทอยู่ระหว่างการเจรจากับลูกค้าเพิ่มอีกหลายราย การให้บริการขนส่งเชื้อเพลิงชีวมวลอัดแท่ง จากสปป.ลาวมายังท่าเรือแหลมฉบัง โดยจะเริ่มให้บริการ ภายในไตรมาส 2 นี้
บริษัทยังมีแผนที่จะขยายพื้นที่คลังสินค้าใหม่ เพื่อรับรองการเติบโตของลูกค้า โดยตั้งเป้าขยายพื้นที่อีก 20,000-30,000 ตารางเมตร ซึ่งจะทำให้บริษัทมีพื้นที่ให้บริการ ถึง 100,000 ตารางเมตร ทั้งนี้คาดว่าจะใช้งบสำหรับการลงทุนและขยายกิจการในโครงการต่างๆประมาณ 200-300 ล้านบาท
"WICE มุ่งเน้นที่จะสร้างโอกาสทางธุรกิจในทุกมิติ เพื่อให้บริการโลจิสติกส์แบบครบวงจร พร้อมทั้งการขยายขีดความสามารถในการให้บริการเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าในทุกกลุ่มอุตสาหกรรม ด้วยความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในธุรกิจ ที่ต้องการสร้างการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน" นายชูเดช เน้นย้ำ
สำหรับผลประกอบการปี 2566 บริษัทมีรายได้ 3,832 ล้านบาท ลดลง 46% จากปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 170 ล้านบาท ลดลง 69% จากปีก่อน สาเหตุหลักที่ทำให้ผลดำเนินการไม่เป็นไปตามที่ตั้งไว้ เนื่องจากอัตราค่าระวางเรือมีการปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ แม้ว่าปริมาณการนำเข้าและส่งออกจะยังอยู่ในระดับที่ทรงตัว แต่ก็ส่งผลกระทบต่อรายได้หลักของบริษัทอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งบริษัทก็พยายามปรับกลยุทธ์ เพื่อให้รักษาการเติบโตให้ได้อย่างยั่งยืน อย่างไรก็ตามภาพรวมของธุรกิจอื่นๆ ยังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
"แม้ว่ารายได้ของบริษัทจะลดลง แต่บริษัทยังคงรักษาอัตราการเติบโตของกำไรในอยู่ในระดับ 18.5% ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ 17.8% โดยเป็นผลมาจากการบริหารจัดการต้นทุนตามกลยุทธ์ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นตั้งใจ ในการผ่าวิกฤตและอุปสรรคจากปัจจัยภายนอกที่ไม่สามารถควบคุมได้" นายชูเดช กล่าว