นางดวงรัตน์ สมุทวณิช ผู้ช่วยผู้จัดการ หัวหน้ากลุ่มงานกำกับบริษัทจดทะเบียนและตราสารอื่น ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า ตั้งแต่วันที่ 25 มี.ค. 67 ตลท.จะเริ่มใช้มาตรการยกระดับการเตือนนักลงทุนด้วยการขึ้นเครื่องหมายในชุด C คาดว่าจะมีหุ้นบริษัทจดทะเบียนที่ถูกขึ้นเครื่องหมาย C เพิ่มขึ้นอีก 50 บริษัท จากปัจจุบันที่มีหุ้นที่ถูกขึ้นเครื่องหมาย C จำนวน 19 บริษัท
"กรณีที่ใช้เหตุเพิ่มขึ้น จะมีเพิ่มอีกประมาณ 50 บริษัท แต่เป็นการคาดการณ์ จนถึงวันที่ effective ตัวเลขอาจมีปรับเปลี่ยน"นางดวงรัตน์ กล่าว
เครื่องหมายแรกจะขึ้นเป็น CB เพื่อแจ้งให้นักลงทุนทราบว่า บจ.นั้นๆ มีส่วนของผู้ถือหุ้นต่ำกว่า 50% ของทุนชำระแล้ว หรือศาลรับคำร้องขอฟื้นฟูกิจการ หรือขาดทุนต่อเนี่อง 3 ปีจนส่วนของผู้ถือหุ้นน้อยกว่าทุนชำระแล้ว หรือผิดนัดชำระหนี้สถาบันการเงินหรือตราสารหนี้ หรือมีรายได้จากการดำเนินงานต่ำกว่า 100 ล้านบาทสำหรับ บจ.ใน SET และน้อยกว่า 50 ล้านบาทสำหรับ บจ.ใน mai ซึ่งมีหุ้น บจ.ที่จะเข้าข่ายการถูกขึ้นเครื่องหมายจำนวนมาก รวมถึง 19 บริษัทที่ถูกขึ้นเครื่องหมาย C อยู่แล้วด้วย
อย่างไรก็ตาม เครื่องหมาย C ประเภทอื่นๆ ได้แก่ CS, CC และ CF จะทยอยตามมาทีหลัง เพื่อแจ้งให้กับนักลงทุนได้ทราบข้อมูลที่ควรนำไปพิจารณาลงทุน และหุ้นที่ถูกเครื่องหมาย CB, CS, CC และ CF จะต้องซี้อขายด้วยบัญชี Cash balance และต้องจัด Public presentation ภายใน 15 วัน และทุกไตรมาสจนกว่าจะแก้ไขเหตุได้
ส่วนหุ้นที่เข้าเกณฑ์ถูกเพิกถอน ซึ่งมีอยู่ราว 20 บริษัท หลังจากยกระดับมาตรการเตือนนักลงทุนแล้ว มองว่าจะไม่กระทบต่อ บจ.ที่เข้าข่ายการถูกเพิกถอนมากนัก และเป็นโอกาสให้บริษัทเหล่านั้นมีเวลาปรับปรุง แก้ไข และตื่นตัว ซึ่งตลท.คาดหวังให้ บจ.ที่เข้าข่ายถูกเพิกถอนพยายามปรับปรุงแก้เพื่อไม่ให้ขึ้นขั้นเพิกถอนออกไปจากตลาดหลักทรัพย์ฯ จริงๆ
นางสาวปวีณา ศรีโพธิ์ทอง รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานกำกับตลาด ตลท. กล่าวว่า เกณฑ์ใหม่การนำ บจ.เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ (SET) และตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ที่จะเริ่มบังคับใช้ในวันที่ 1 ม.ค. 68 เป็นการปรับปรุงเกณฑ์ให้มีความทันสมัย และทัดเทียมกับเกณฑ์ประเทศอื่นในภูมิภาคใกล้เคียง
ตลท.ใช้เกณฑ์เดิมมาตั้งแต่ปี 48 ซึ่งในยุคนั้นผ่อนคลายเกณฑ์เพื่อสนับสนุนให้บริษัทต่าง ๆ เข้าจดทะเบียน มาถึงขณะนี้ถึงเวลาเหมาะสมที่จะปรับปรุงเกณฑ์ดังกล่าว โดยเกณฑ์การนำบริษัทเข้าจดทะเบียนใน SET และ mai จะปรับปรุงด้านคุณสมบัติมูลค่ากำไรและส่วนของผู้ถือหุ้น เพื่อเพิ่มความแข็งแรงทั้งด้านฐานะการเงินและผลการดำเนินงานของบริษัทที่จะเข้าจดทะเบียน "การปรับเกณฑ์รับหลักทรัพย์ใหม่เข้ามา ไม่ได้ปรับมานานมากตั้งแต่ปี 48 จึงทำให้มีความผ่อนคลาย ความเข้มข้นที่น้อยกว่าตลาดอื่นๆในภูมิภาค ซึ่งการปรับปรุงเกณฑ์ในครั้งนี้ส่วนหนึ่งเพราะถึงเวลาที่ต้องปรับปรุง เพิ่มความเข้มข้นมากขึ้นแล้ว เราไม่ได้เน้นปริมาณ แต่จะเน้นเรื่องคุณภาพมากขึ้น ดูในเรื่องฐานะการเงินของบริษัทจดทะเบียน ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน มากกว่า Paid up ที่ไม่ได้สะท้อนฐานะการเงินที่ชัดเจน"นางสาวปวีณา กล่าว
ทั้งนี้ การยกระดับมาตรการเตือนนักลงทุน และการปรับปรุงเกณฑ์การนำบริษัทเข้าจดทะเบียนจะช่วยยกระดับให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีคุณภาพเพิ่มมากขึ้น รวมถึงทำให้ บจ.มีคุณภาพมากขึ้น มีฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง สามารถฟื้นความน่าเชื่อถือให้กับตลาดหลักทรัพย์ และสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนมากขึ้นด้วยเช่นกัน